
กรุงศรีฯ เผยครึ่งแรกของปี 2568 กำไร จำนวน 15,829 ล้านบาท
กรุงศรีฯ เปิดเผยถึงผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2568 กำไรสุทธิจำนวน 15,829 ล้านบาท ครึ่งแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิจำนวน 15,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของทั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน โดยยึดมั่นยุทธศาสตร์การบริหารต้นทุน พร้อมเสริมประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนคุมผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสม
จากนโยบายที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เงินให้สินเชื่อในภาคธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตในระดับปานกลาง ขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งสินเชื่อเพื่อรายย่อยปรับตัวลดลง ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อรวมปรับตัวลดลงที่ 1.6% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนธันวาคม 2567 ซึ่งสะท้อนภาพรวมความต้องการเงินให้สินเชื่อทั้งระบบอุตสาหกรรมธนาคาร และการชำระคืนเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชน การบริโภค และความต้องการสินเชื่อ กรุงศรียังคงสามารถรักษาระดับผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สะท้อนยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการบริหารต้นทุน พร้อมเสริมประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนคุมผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสม
เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มอ่อนแรงต่อเนื่อง ภายใต้บริบทความเสี่ยงจากมาตรการเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ความท้าทายจากการฟื้นตัวที่ช้ากว่าคาดการณ์ในภาคการท่องเที่ยว ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับที่สูง และประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิต อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ต่อเนื่องในปี 2569 ทั้งนี้ สำหรับปี 2568 กรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับ 2.1%
กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.87 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.80 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.60 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 325.76 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 19.57% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 15.36%