
ส่องงบด้านสุขภาพ "กัมพูชา" ย้อนหลัง 10 ปี มีใครให้เงินอุดหนุนบ้าง
ส่องงบด้านสุขภาพ "กัมพูชา" ย้อนหลัง 10 ปี ใครเป็นคนให้เงินอุดหนุนด้านระบบสาธารณสุขบ้าง
หลังจากที่ชายแดนไทย-กัมพูชา มีการปิดด่าน และผู้นำกัมพูชาประกาศเรียกคนกัมพูชากลับประเทศนั้น หลายคนอาจจะเคยเห็นภาพผู้ป่วยชาวกัมพูชาข้ามมารักษาโรงพยาบาลไทยลดลงบ้าง ตลอดจนการส่งตัวผู้ป่วยกัมพูชาข้ามมาเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนของไทย เกิดอะไรขึ้นกับระบบสาธารณสุขของประเทศกัมพูชา เรามีข้อมูลดีๆ มาฝากกัน
สาเหตุที่ชาวกัมพูชาเดินทางมารักษาตัวในโรงพยาบาลของประเทศไทย
ผู้ป่วยชาวกัมพูชาโดยเฉพาะผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง ส่วนใหญ่เลือกเดินทางมารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยด้วยเหตุผลหลายประการ
1. คุณภาพการรักษาและมาตรฐานที่สูงกว่า
นี่เป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของไทยมากกว่าในประเทศตัวเอง โดยเฉพาะในด้าน:
- ความแม่นยำในการวินิจฉัย: ผู้ป่วยกัมพูชาหลายคนให้ข้อมูลว่าแพทย์ในไทยสามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำกว่า
- มาตรฐานการรักษา: โรงพยาบาลในไทยมีมาตรฐานการรักษาที่ดีกว่า มีเทคโนโลยีและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและมีโอกาสหายจากโรคได้มากกว่า
- จริยธรรมของแพทย์: ผู้ป่วยบางรายรู้สึกว่าการบริการของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในไทยมีมาตรฐานและเป็นมืออาชีพมากกว่า
2. ค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า
แม้ว่าการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนของไทยจะมีราคาค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับแล้ว หลายคนมองว่า คุ้มค่ากว่า การรักษาในประเทศตัวเอง และยังถูกกว่าการไปรักษาในประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์
3. ความสะดวกในการเดินทาง
กัมพูชาและไทยมีพรมแดนติดกัน การเดินทางจึงทำได้ง่ายและสะดวก โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ การเดินทางในภูมิภาคอาเซียนก็ง่ายขึ้นเนื่องจากข้อตกลงยกเว้นวีซ่า ทำให้การเดินทางเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลทำได้ง่ายขึ้นสำหรับคนกัมพูชาที่มีฐานะ
4. ปัญหาภายในระบบสาธารณสุขของกัมพูชา
ระบบสาธารณสุขของกัมพูชายังคงมีช่องโหว่และข้อบกพร่องที่ทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่น:
- บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน: แพทย์และผู้เชี่ยวชาญยังมีจำนวนไม่เพียงพอ และส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่
- ความไม่น่าเชื่อถือของบริการในประเทศ: ผู้ป่วยหลายรายมีประสบการณ์การวินิจฉัยที่ผิดพลาดหรือการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานจากโรงพยาบาลในประเทศ ทำให้พวกเขาขาดความเชื่อมั่นและตัดสินใจไปหาที่พึ่งในต่างประเทศ
- ค่าใช้จ่ายที่ประชาชนต้องจ่ายเองสูง: แม้จะรักษาในประเทศ แต่ค่าใช้จ่ายบางอย่างก็สูงและไม่สามารถคาดการณ์ได้ ทำให้ผู้ป่วยเลือกที่จะไปรักษาในที่ที่พวกเขารู้สึกว่าได้รับบริการที่สมเหตุสมผลกับเงินที่จ่ายไป
5. ปัจจัยอื่นๆ
- ภาษา: ในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะตามแนวชายแดน มีการปรับตัวเพื่อรองรับผู้ป่วยชาวกัมพูชา ทำให้การสื่อสารไม่ใช่ปัญหาใหญ่
- แรงงานต่างด้าว: แรงงานชาวกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายจะมีสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลจากระบบประกันสุขภาพของไทย ทำให้พวกเขาเข้าถึงบริการได้ง่าย
การที่ผู้ป่วยชาวกัมพูชาเดินทางมารักษาตัวในประเทศไทยเกิดจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ทั้งเรื่อง คุณภาพ มาตรฐาน ความน่าเชื่อถือ และความสะดวก ซึ่งทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญสำหรับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของชาวกัมพูชา
เกิดอะไรขึ้นกับระบบสาธารณสุขของประเทศกัมพูชา
ระบบสาธารณสุขของกัมพูชามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา โดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้สถานะสุขภาพของประชากรดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ระบบสาธารณสุขของกัมพูชายังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ และมีความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทย
โครงสร้างระบบสาธารณสุข
ระบบสาธารณสุขของกัมพูชามีโครงสร้างสามระดับ:
บทบาทของภาครัฐและเอกชน
- ภาครัฐ: โรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพของรัฐมีสัดส่วนประมาณ 20% ของตลาดสุขภาพทั้งหมด และมุ่งเน้นให้บริการแก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยเน้นการส่งเสริมและป้องกันโรค รวมถึงการดูแลสุขภาพมารดาและเด็ก โรคติดต่อ และโรคไม่ติดต่อ
- ภาคเอกชน: มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในระบบสุขภาพของกัมพูชา โดยให้บริการด้านการรักษาพยาบาล (Curative care) เป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วนถึง 80% ของตลาดสุขภาพทั้งหมด โรงพยาบาลและคลินิกเอกชนจึงได้รับความนิยมมากกว่าโรงพยาบาลของรัฐ เนื่องจากผู้คนยังขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของรัฐ
ความท้าทายและอุปสรรค
แม้จะมีความก้าวหน้า แต่ระบบสาธารณสุขของกัมพูชายังคงมีปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไข:
- การกระจุกตัวของบุคลากรทางการแพทย์: แพทย์และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในกรุงพนมเปญ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ชนบทเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพได้ยาก
- การเข้าถึงบริการสุขภาพคุณภาพต่ำ: ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงขาดโอกาสเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพสูง
- ค่าใช้จ่ายที่ประชาชนต้องจ่ายเองสูง: ในปี 2021 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่ประชาชนต้องจ่ายเอง (Out-of-pocket payments) คิดเป็นสัดส่วนถึง 55% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมด
- ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม: ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและสังคมทำให้การเข้าถึงบริการสุขภาพมีความเหลื่อมล้ำกัน
- ความไม่เชื่อมั่นในระบบของรัฐ: ประชาชนชาวกัมพูชาจำนวนมากที่พอมีฐานะจะเลือกเดินทางไปรักษาตัวในโรงพยาบาลของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนามและไทย เพราะมีความเชื่อมั่นในคุณภาพการรักษาที่สูงกว่า
ความพยายามเพื่อยกระดับระบบสาธารณสุข
- มุ่งสู่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UHC): กัมพูชามีเป้าหมายที่จะบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปี 2068 (พ.ศ. 2611) และได้มีการจัดตั้ง "กองทุนความเสมอภาคด้านสุขภาพ" (Health Equity Fund - HEF) เพื่อให้การดูแลสุขภาพฟรีแก่กลุ่มคนยากจน
- การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน: มีการลงทุนในการก่อสร้างโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- การร่วมมือกับต่างประเทศ: มีความร่วมมือกับนานาชาติ รวมถึงประเทศไทย ในการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และระบบสาธารณสุข เช่น การใช้ระบบ "MOPH PHR ฉุกเฉิน" เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยบริเวณชายแดน
ระบบสาธารณสุขของกัมพูชามีการพัฒนาที่ดีขึ้น แต่ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างหลายอย่าง ซึ่งส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากยังคงพึ่งพาบริการจากภาคเอกชนหรือการรักษาพยาบาลในต่างประเทศ
ย้อนดูงบประมาณสาธารณสุขกัมพูชาย้อนหลัง 10 ปี
งบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศกัมพูชาเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะข้อมูลที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการและเป็นระบบอาจหายาก อย่างไรก็ตาม เราจะอ้างอิงข้อมูลจากรายงานของสถาบันระหว่างประเทศ เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) และธนาคารโลก (World Bank) ทำให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจน
ภาพรวมการใช้จ่ายด้านสุขภาพของกัมพูชา (2015-2024)
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา งบประมาณด้านสาธารณสุขของกัมพูชามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้รัฐบาลต้องทุ่มงบประมาณฉุกเฉินเพื่อรับมือกับสถานการณ์
- ปี 2015: งบประมาณด้านสาธารณสุขของรัฐบาลอยู่ที่ประมาณ 340-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ปี 2016: ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมด (ทั้งรัฐและเอกชน) อยู่ที่ประมาณ 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนที่เป็นงบประมาณของรัฐบาลอยู่ที่ประมาณ 22%
- ปี 2017: ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของรัฐบาลต่อหัวประชากรอยู่ที่ประมาณ 17 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังคงอยู่ในระดับต่ำ
- ปี 2018: งบประมาณสาธารณสุขของรัฐบาลยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานว่าอยู่ในช่วงประมาณ 450-480 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ปี 2019: งบประมาณด้านสาธารณสุขของรัฐบาลถูกกำหนดไว้ที่ประมาณ 485 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ปี 2020: แม้จะไม่มีตัวเลขที่แน่นอน แต่เป็นที่ทราบกันว่ารัฐบาลกัมพูชาได้เพิ่มการใช้จ่ายด้านสาธารณสุขอย่างมีนัยสำคัญเพื่อรับมือกับวิกฤตโควิด-19
- ปี 2021: ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ยังคงมาจากประชาชนเอง (ประมาณ 60%)
- ปี 2022: การใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของรัฐบาลต่อหัวประชากรอยู่ที่ประมาณ 17 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลยังคงเป็นภาระหลักของประชาชน
- ปี 2023: นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต เปิดเผยว่างบประมาณด้านการดูแลสุขภาพของกัมพูชาเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 573 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ปี 2024: งบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขถูกกำหนดไว้ที่ประมาณ 66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ค่าใช้จ่ายจริงรวมทั้งหมดคาดว่าจะสูงกว่านี้มากเมื่อรวมโครงการด้านสุขภาพอื่นๆ ที่กระจายอยู่ในงบประมาณของกระทรวงอื่นๆ
ใครให้เงินอุดหนุนด้านระบบสาธาณสุขกับประเทศกัมพูชา?
กัมพูชาได้รับงบประมาณสนับสนุนด้านระบบสาธารณสุขจากหลายแหล่ง ทั้งจากองค์กรระหว่างประเทศ รัฐบาลต่างชาติ และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGOs) ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาและยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการที่มุ่งช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง
องค์กรระหว่างประเทศ
- ธนาคารโลก (World Bank): เป็นผู้สนับสนุนหลักรายหนึ่งของกัมพูชา โดยให้เงินกู้และเงินช่วยเหลือสำหรับโครงการด้านสุขภาพ เช่น โครงการ Health Equity and Quality Improvement Project (HEQIP) ซึ่งมีเป้าหมายในการขยายการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพสำหรับคนยากจนและกลุ่มเปราะบาง
- องค์การอนามัยโลก (World Health Organization - WHO): ให้การสนับสนุนทางเทคนิคและเงินทุนเพื่อพัฒนาและเสริมสร้างระบบสุขภาพ รวมถึงการรับมือกับโรคระบาด
- ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank - ADB): ให้เงินกู้และเงินช่วยเหลือเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านสุขภาพ
- กองทุนโลก (The Global Fund): เป็นองค์กรที่ให้เงินทุนเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในกัมพูชา
รัฐบาลต่างชาติ
- สหรัฐอเมริกา: ผ่านทาง USAID (United States Agency for International Development) ให้การสนับสนุนโครงการด้านสุขภาพต่างๆ รวมถึงโครงการด้านสุขภาพจิตและสุขอนามัยแม่และเด็ก
- ออสเตรเลีย: เป็นหนึ่งในผู้บริจาคหลักของกองทุน Multi-donor Trust Fund ที่สนับสนุนโครงการด้านสุขภาพต่างๆ ของกัมพูชา
- เยอรมนี: ผ่านทาง German Development Bank (KfW) ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการด้านสุขภาพ
- เกาหลีใต้: ให้การสนับสนุนทางการเงินและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนสนับสนุนโครงการด้านสุขภาพของกัมพูชา
- จีน: เป็นหนึ่งในประเทศหลักที่ให้ความช่วยเหลือแก่กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านความร่วมมือด้านการทหารและสุขภาพ และการบริจาควัคซีนในช่วงการระบาดของโควิด-19
องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGOs)
- องค์กรนานาชาติอื่นๆ: มีองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจำนวนมากที่ทำงานในกัมพูชาเพื่อให้บริการด้านสุขภาพโดยตรง โดยเฉพาะในระดับจังหวัดและอำเภอ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ให้บริการด้านสุขภาพและให้การฝึกอบรมแก่บุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่
งบประมาณด้านสาธารณสุขของกัมพูชามาจากการผสมผสานระหว่างงบประมาณของรัฐบาลเอง ความช่วยเหลือจากต่างชาติ และค่าใช้จ่ายที่ประชาชนต้องจ่ายเอง ซึ่งความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศและรัฐบาลต่างชาติมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเติมเต็มช่องว่างด้านการเงินและยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ของประเทศ
เงื่อนไขการให้เงินสนับสนุนด้านสาธารณสุข
1. เงื่อนไขของรัฐบาลกัมพูชาเอง
รัฐบาลกัมพูชามีการจัดสรรงบประมาณด้านสุขภาพตามนโยบายและเป้าหมายของประเทศเป็นหลัก โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- เป้าหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage - UHC): กัมพูชามีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย UHC โดยการจัดสรรงบประมาณเพื่อขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพแก่ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
- การลดความเหลื่อมล้ำ: มีการจัดตั้ง กองทุนเพื่อความเสมอภาคด้านสุขภาพ (Health Equity Funds - HEF) ซึ่งเป็นกลไกที่รัฐบาลและผู้บริจาคใช้เพื่อช่วยให้คนยากจนเข้าถึงบริการในโรงพยาบาลของรัฐได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม
- การใช้จ่ายเพื่อป้องกันโรค: รัฐบาลให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อป้องกันโรคติดต่อที่สำคัญ เช่น มาลาเรีย วัณโรค และเอดส์ รวมถึงการรณรงค์ด้านสาธารณสุขอื่นๆ
2. เงื่อนไขจากองค์กรระหว่างประเทศและผู้บริจาค
เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศมักมาพร้อมกับเงื่อนไขที่ผู้บริจาคกำหนดขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่างบประมาณถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยมีเงื่อนไขหลักๆ ดังนี้
- การกำกับดูแลและการบริหารจัดการ: ผู้บริจาคมักกำหนดให้มีการปรับปรุงการบริหารจัดการและธรรมาภิบาลในภาคสาธารณสุขของกัมพูชา เพื่อลดการทุจริตและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ
- การติดตามและประเมินผล: โครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนต้องมีการติดตามและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าเงินทุนถูกใช้ไปตามวัตถุประสงค์ และสามารถแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้
- การสนับสนุนกลุ่มเป้าหมาย: เงินทุนมักถูกกำหนดให้ใช้เพื่อสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง เช่น สตรีมีครรภ์ เด็กเล็ก หรือผู้ป่วยโรคเฉพาะทาง
- การปฏิรูปเชิงนโยบาย: ผู้บริจาคอาจมีเงื่อนไขให้กัมพูชาปรับปรุงหรือปฏิรูปนโยบายด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในระยะยาว
- การจัดหา (Procurement): อาจมีเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์ทางการแพทย์และยาที่โปร่งใสและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
สรุป
- งบประมาณด้านสาธารณสุขของกัมพูชามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและชัดเจนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
- แม้จะมีการเพิ่มงบประมาณ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ยังคงเป็นภาระของประชาชนโดยตรง (Out-of-pocket expenditure) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงกว่า 60% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมด
- ความช่วยเหลือจากพันธมิตรเพื่อการพัฒนา เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) และธนาคารโลก (World Bank) ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงบประมาณและโครงการด้านสุขภาพของประเทศ