
สิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ คลังตอบแล้ว ต้องร่วมจ่ายทุกครั้งไหม
กรมบัญชีกลาง เฉลย สิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ ต้องร่วมจ่าย Co Pay จริงหรือไม่
จากกรณีที่กรมบัญชีกลางออกหนังสือแจ้ง “กำหนดอัตราเบิกจ่ายค่ายารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง” 31 รายการ เริ่ม 1 พ.ย.2568 เพื่อให้การเบิกจ่ายเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ มีผลกับผู้ป่วยกลุ่มโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งไขกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ยังมีโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคผิวหนังเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันผิดปกติ เป็นต้น โดยกรมบัญชีกลาง ออกหนังสือที่ กค 0416.2 /ว 537 ลงวันที่ 13 ส.ค. 68 แจ้งเวียนหัวหน้าส่วนราชการ ผู้อำนวยการสถานพยาบาลของทางราชการเพื่อเทราบและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ เรื่อง การกำหนดอัตราเบิกจ่ายค่ายารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง
พร้อมทั้งแนบรายละเอียดรายการและอัตราเบิกจ่ายจำนวน 31 รายการ โดยระบุว่า ตามที่กรมบัญชีกลางกำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรค หรือกลุ่มโรค ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น โรคมะเร็งและโลหิตวิทยา กลุ่มโรครูมาติก โรคผิวหนังเรื้อรัง และโรคทางระบบประสาทที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ เป็นต้น ตลอดจนกำหนดอัตราเบิกจ่ายค่ายาบางรายการนั้น
อย่างไรก็ตาม กรมบัญชีกลางพิจารณาแล้ว แจ้งเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งช่วยให้ภาครัฐสามารถประหยัดงบประมาณรายจ่ายค่ายาในบางส่วน โดยไม่ทำให้คุณภาพการรักษาพยาบาลลดลง และสามารถนำงบประมาณที่ประหยัดได้ไปเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านอื่นที่จำเป็น
ด้านสำนักข่าวอิศรารายงานว่า หนังสือเวียนที่ออกไปดังกล่าว ไม่ได้กำหนดให้มีการร่วมจ่าย หรือ copayment แต่อย่างใด แต่เป็นการปรับเรื่องการใช้ยาให้เหมาะสม ตามอัตราที่กรมบัญชีกลางกำหนด ให้เป็นไปตามเงื่อนไข ข้อบ่งชี้ และเพดานที่กำหนด
โดยอ้างอิงจากข้อมูลการใช้ยาจริงของสถานพยาบาล และฐานข้อมูลการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล (Medical Benefit Database) ของกรมบัญชีกลาง และราคาจัดซื้อของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้มั่นใจว่า อัตราใหม่สอดคล้องกับราคาที่จัดซื้อจริง
ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก กรมบัญชีกลาง เคลียร์ทุกคำถามเกี่ยวกับ “สิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ ต้องร่วมจ่าย Co Pay จริงหรือไม่”
คำถาม : กรมบัญชีกลางให้ผู้ใช้สิทธิข้าราชการต้องร่วมจ่ายเงินทุกครั้งที่เข้ารับการรักษา (CO-PAYMENT) ใช่หรือไม่ ?
- ตอบ: กรมบัญชีกลางได้ทำการปรับเรื่องการใช้ยาให้เหมาะสมตามอัตรา ให้เป็นไปตามเงื่อนไข ข้อมูล และเพดานที่กรมบัญชีกลางกำหนด โดยอ้างอิงจากข้อมูลการใช้ยาจริงของสถานพยาบาล และฐานข้อมูลการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล (MEDICAL BENEFI DATABASE) ของกรมบัญชีกลาง ราคาจัดซื้อของ สปสช. เพื่อให้มั่นใจว่า อัตราใหม่สอดคล้องกับราคาที่จัดซื้อจริง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารงบประมาณด้านยาอย่างคุ้มค่า เป็นการกำหนดเงื่อนไขในการจ่ายตามปกติที่กรมบัญชีกลางทำมาโดยตลอด เช่นเดียวกับพวกค่าห้อง ค่าอวัยวะเทียม และค่าตรวจวินิจฉัย
คำถาม : ต่อไปสิทธิข้าราชการจะเบิกได้เฉพาะยาในบัญชียาหลักแห่งชาติเท่านั้น ไม่สามารถเบิกค่ายาอื่นแบบได้ ใช่หรือไม่?
- ตอบ : ไม่ใช่ การเบิกจ่ายค่ายา ผู้มีสิทธิยังคงสามารถ เบิกค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติได้ตามความจำเป็นและเหตุผลทางการแพทย์ ซึ่งสามารถเบิกได้ทั้งยานอกบัญชีและยาต้นแบบ ภายใต้หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราที่กรมบัญชีกลางกำหนด
คำถาม : ทำไมต้องมีการปรับอัตราการเบิกค่ายา?
- ตอบ : ปัจจุบันมียาหลายชนิดที่มี ยาสามัญ (GENERIC) และ ยาชีววัตถุคล้ายคลึง (BIOSIMILAR) ออกสู่ตลาด ซึ่งผ่านการรับรองว่ามีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย เทียบเท่า ยาต้นแบบ (ORIGINAL) แต่มีราคาที่ต่ำกว่า ซึ่งการนำมาใช้แทน เป็นการใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า โดยไม่ลดคุณภาพการดูแล และเป็นไปตามมาตรฐานสากล
คำถาม : การปรับแก้การเบิกค่ายาครั้งนี้ เป็นการลดสิทธิของผู้ป่วยหรือไม่?
- ตอบ: ไม่ใช่การลดสิทธิแต่อย่างใด เป็นการจัดระบบให้เหมาะสมและคุ้มค่า เพื่อให้ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลมีความยั่งยืน ผู้ป่วยยังคงได้รับยาที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐาน แต่ในกรณีที่ต้องใช้ยาที่มีราคาสูง จะมีระบบกำกับกับการใช้ยาที่เหมาะสม เช่น ต้องมีข้อบ่งชี้สำคัญที่แพทย์รับรอง
คำถาม : มีความเสี่ยงหรือไม่? ที่ผู้ป่วยจะไม่ได้รับยาที่เหมาะสม
- ตอบ: ระบบกำหนดอัตราเบิกและการคัดเลือกยาทั้งหมด อ้างอิงตามหลักฐานทางการแพทย์ (EVIDENCE-BASED MEDICINE) และมาตรฐานแนวทางการรักษาของสมาคมวิชาชีพ ดังนั้น ผู้ป่วยยังได้รับยาที่เหมาะสม ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ เช่นเดิม
คำถาม : การปรับแก้แบบนี้ ประเทศอื่นทำหรือไม่?
- ตอบ: ในหลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ สิงคโปร์ มีการปรับระบบการใช้ยาในแนวทางเดียวกัน โดยใช้ยา BIOSIMILAR และ GENERIC เพื่อให้ระบบสุขภาพมีความยั่งยืน ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยาต้นแบบ (ORIGINAL/ORIGINATOR) ยังสามารถใช้ได้ในกรณีที่แพทย์เห็นสมควร