ร้านค้าร่วม "คนละครึ่งพลัส" แบบไหนถึงจะเสียภาษี กูรูภาษีเฉลยแล้ว!
ร้านค้าร่วมคนละครึ่งพลัส แบบไหนถึงจะโดนภาษี กูรูด้านภาษีกางข้อกฎหมายแจงกรมสรรพากรยังสามารถตรวจสอบรายได้ของร้านค้าจากช่องทางอื่นได้
ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มให้ความรู้ด้านภาษี iTAX กล่าวถึงกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ข้อมูลรายได้ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสจะไม่ถูกส่งให้กรมสรรพากรเพื่อใช้ตรวจสอบภาษี ไม่ได้หมายความว่าร้านร่วมคนละครึ่งไม่ต้องเสียภาษี
แต่กรมสรรพากรจะไม่ใช้ข้อมูลจากโครงการคนละครึ่งพลัสมาเป็นเบาะแสในการตรวจสอบภาษีเท่านั้น แต่กระบวนการที่ร้านค้าต้องเสียภาษีตามกฎหมายยังคงมีอยู่
เนื่องจากกรมสรรพากรมีเครื่องมืออื่นที่สามารถตรวจสอบรายได้ของผู้เสียภาษีได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงข้อมูลจากโครงการคนละครึ่งพลัส เช่น การตรวจสอบยอดเงินเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งหากบัญชีใดมียอดรายการเคลื่อนไหวถึง 3,000 ครั้งต่อปี หรือเกิน 400 ครั้งและมียอดรวมตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ธนาคารจะต้องส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังสามารถตรวจสอบข้อมูลจากแพลตฟอร์มจัดส่งอาหารหรือบริการ เช่น LINE MAN และ GRAB ซึ่งมีกฎหมายกำหนดให้ต้องยื่นบัญชีพิเศษกรณียอดขายเกิน 1,000 ล้านบาท โดยต้องระบุรายละเอียดรายได้จากค่า GP และยอดขายของแต่ละร้านค้า ทำให้กรมสรรพากรสามารถเข้าถึงข้อมูลรายได้ของร้านค้าบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้โดยตรง รวมถึงยังมีการสำรวจภาคสนามในพื้นที่ร้านค้าตั้งอยู่ด้วย
การที่กระทรวงการคลัง ยืนยันว่าจะไม่ส่งข้อมูลรายได้จากโครงการคนละครึ่งพลัสให้กรมสรรพากร ไม่ได้หมายความว่าร้านค้ารายย่อยจะได้รับการยกเว้นภาษี เพราะตามกฎหมายร้านค้าที่มียอดขายตลอดทั้งปีเกิน 60,000 บาท (เฉลี่ยยอดขายเกินเดือนละ 5,000 บาท) ต้องยื่นแบบภาษีเงินได้ และหากมียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (เฉลี่ยยอดขายเกินเดือนละ 150,000 บาท) ต้องเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกประเมินภาษีย้อนหลัง
ผศ.ดร.ยุทธนา กล่าวว่า เห็นด้วยกับนโยบายกระตุ้นกำลังซื้อจากฐานรากผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส แต่เสนอให้รัฐบาลพิจารณานโยบายเสริมที่ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าระบบภาษีได้ง่ายขึ้น เช่น การนิรโทษกรรมไม่เรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากร้านค้าที่ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ และการนำข้อมูลรายได้จากระบบคนละครึ่งมาใช้ช่วยจัดทำเอกสารยื่นภาษีโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่ต้องแบกรับภาระการจัดการเอกสารด้วยตนเอง
หากมีนโยบายเสริมลักษณะนี้ จะช่วยจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีโดยสมัครใจมากขึ้น และสร้างความเป็นธรรมกับผู้ที่อยู่ในระบบภาษีอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลใช้งบประมาณกว่า 44,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากเงินภาษีของประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส
"ผมยังอยากให้เงินภาษีที่จ่ายนี้เกิดประโยชน์กับคนในระบบภาษีหรือคนอยากกลับตัวกลับใจเข้าระบบภาษี “มากกว่า” คนที่อยู่นอกระบบภาษี" ผศ.ดร.ยุทธนา กล่าว
ทั้งนี้ หากรัฐบาลมีนโยบายเสริมพวกนี้ ในฐานะผู้บริโภคจะได้เลือกไปเลยว่าจะซื้อของกับร้านที่เข้าโครงการคนละครึ่งเท่านั้นเพราะร้านเหล่านี้มีความตั้งใจจะเข้าระบบภาษีให้ถูกต้องเหมือนคนอื่นที่หาเช้ากินค่ำและอยู่ในระบบภาษีอย่างถูกต้อง แทนที่จะต้องมาแบกต้นทุนนี้แทนร้านค้านอกระบบไปทุกครั้ง
สรุป ร้านค้าร่วมคนละครึ่งพลัส ยังเสียภาษีเหมือนเดิม เพียงแต่กรมสรรพากรจะไม่ได้ใช้ข้อมูลจากโครงการคนละครึ่งพลัสมาเป็นเบาะแสในการตรวจสอบภาษีเท่านั้น