เนื้อหาในหมวด ข่าว

ตะลึง! ผู้เฒ่าจีนถือสัญญา \

ตะลึง! ผู้เฒ่าจีนถือสัญญา "ทวงหนี้" กองทัพในประวัติศาสตร์ ระบุชัด "พ่อ" ให้ยืมไปเท่าไหร

ตะลึง! ผู้เฒ่าถือกระดาษเก่าๆ ทวงหนี้รัฐบาลจีน ที่แท้เป็นลูกชาย "เจ้าของเงิน" ช่วยเหลือกองทัพแดงในประวัติศาสตร์

วันหนึ่งในปี ค.ศ.2015 ชายชราแซ่หยาง ในมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ได้นำเอกสารที่ยับยู่ยี่และกลายเป็นสีเหลือง ไปให้คณะกรรมการประชาชนประจำเมืองเพื่อพบปะกับรัฐบาลท้องถิ่น แจ้งให้ทราบว่าเขามา "ทวงหนี้" ทำเอาเจ้าหน้าที่รู้สึกประหลาดใจมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นเนื้อหาในกระดาษชำระหนี้ที่ชายชรามอบให้ก็ต้องตกตะลึง

แม้ว่ากระดาษจะยับยู่ยี่ แต่ข้อความก็ยังชัดเจน จำนวนหนี้ที่บันทึกไว้คือ 400 เหรียญ ระยะเวลาเงินกู้คือ 85 ปีที่แล้วเมื่อเห็นเช่นนี้จึงรีบติดต่อตำรวจเพื่อเปิดการสอบสวนทันที ต่อมาผ่าน IOU หรือเอกสารที่ไม่เป็นทางการในการยอมรับหนี้ในประวัติแผ่นนี้ ทำให้ทราบเกี่ยวข้องกับไทม์ไลน์ที่บันทึกไว้ในกระดาษ และความจริงก็ถูกเปิดเผยในที่สุด….

ตำรวจกล่าวว่าเอกสารหนี้ที่นายหยางนำมานั้น เป็นเอกสารจากรัฐบาลจีนในช่วงสงครามปลดปล่อยประเทศในช่วงทศวรรษที่ 1930 กองทัพแดงที่หนึ่งและกองทัพแดงที่ 3 ได้มาพบกันในหูหนาน และรวมเข้าด้วยกันเป็นกองทัพแดงที่หนึ่ง จำนวนบุคลากรเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ส่งผลให้เสบียงก็ขาดแคลน อีกทั้งยังถูกตั้งล้อมและปราบปราบ เป็นช่วงเวลาที่ไม่มั่นคงและยากลำบากที่สุดช่วงหนึ่งของสงคราม

ตอนนั้น “หยาง ฉางหยิน” หรือพ่อของนายหยาง เจ้าของที่ดินรายเล็กๆ แต่ได้ทุ่มเงินจำนวน 400 เหรียญ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลในเวลานั้น เพื่อช่วยรัฐบาลรับมือกับความยากลำบากที่เกิดขึ้นในทันที ดังนั้น สิ่งที่น่ายกย่องที่สุดคือเขาไม่เพียงแต่ให้ยืมเงิน 300 เหรียญทั้งหมดที่มีในเวลานั้น แต่ยังหยิบยืมเงิน 100 เหรียญจากญาติและเพื่อนๆ นำมามอบให้กองทัพอีกด้วย

ดังนั้น เพื่อเป็นการรับทราบถึงหัวใจที่ยิ่งใหญ่นี้ กองทัพแดงจึงได้เขียนกระดาษชำระหนี้ไว้เป็นหลักฐาน และสัญญาว่าเมื่อประเทศได้รับอิสรภาพ จะชดใช้หนี้ข้างต้นให้กับครอบครัวของเขา ในกระดาษแผ่นนั้นมีการลงนามและตราประทับโดยกัปตันหน่วยด้วย

เวลาผ่านไป พ่อของนายหยางก็เสียชีวิตลง ครอบครัวของเขาผ่านพบเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย และไม่ได้มีการเงินที่มั่งคั่งเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป เมื่อนายหยางแก่และอ่อนแอ ไม่สามารถทำงานหนักได้ และเงินของครอบครัวก็แทบจะหมดลง เขาจึงนึกถึงเอกสารหนี้ที่พ่อเคยพูดถึง ก่อนตัดสินใจนำไปให้คณะกรรมการประชาชนเมืองเพื่อถามถึงเรื่องราวเก่าๆ ด้วยความหวังว่าจำนวนเงินที่เขียนไว้อาจช่วยให้ครอบครัวรอดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก และช่วยให้ลูกๆ ของเขามีชีวิตที่ดีขึ้น

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกระดาษแผ่นนั้น และทราบเรื่องราวเบื้องหลังแล้ว พวกเขาก็รู้สึกขอบคุณอย่างยิ่ง และรีบรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวให้ผู้บังคับบัญชาทราบอย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลท้องถิ่นทราบเรื่องนี้ แม้กัปตันของกองทัพซึ่งเป็นผู้เขียน IOU อาจไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่คำสัญญานั้นยังคงต้องยึดถือ ไม่ว่าจะ 8 ปี หรือ 80 ปี รัฐบาลก็จะคืนเงินให้ และคิดว่านี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการชำระหนี้เต็มจำนวน

หลังจากแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและส่วนต่างอัตราเงินเฟ้อ ผู้เชี่ยวชาญสรุปว่าเหรียญเงิน 400 เหรียญในสมัยนั้น มีมูลค่า 40,000 หยวน นายหยางจึงได้รับเงินคืน 40,000 หยวน (ประมาณ 2 แสนบาท)

นอกจากนี้ รัฐบาลท้องถิ่นยังช่วยนายหยางสร้างบ้านหลังใหม่เพื่ออยู่อาศัย และยังช่วยเขาสมัครรับสิทธิขอค่าครองชีพและค่ารักษาพยาบาลอีกด้วย การกระทำเหล่านี้ถือว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งและมีความหมายต่อครอบครัวของชายชรา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงจิตวิญญาณแห่งความกตัญญูจากรัฐบาลท้องถิ่น

ทั้งนี้ ตามรายงานยังระบุด้วยว่า กองทัพแดง หรือกองทัพแดงของกรรมกรและชาวนาจีน ได้รับชื่อเสียงอย่างกว้างขวางว่าเป็นกำลังตัดสินชี้ขาดในชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร แม้ในประวัติศาสตร์การทหารสมัยใหม่ของจีน ไม่มีกองทัพใดได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากเท่ากับกองทัพแดง พวกเขารักประชาชน ดังนั้นประชาชนจึงรักพวกเขา

ส่วนกระดาษหนี้แผ่นสำคัญ ที่บันทึกสัญญาหนี้ระหว่างระหว่างกองทัพแดง และ “หยาง ฉางหยิน” เจ้าของที่ดินรายเล็กๆ ที่ให้กองทัพแดงยืมเงินจำนวนมหาศาล แม้ตนเองจะสูญเสียทุกอย่างก็ตาม ต่อมาถูกจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ ซึ่งกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกถึงความรักอันลึกซึ้งระหว่างประชาชนกับรัฐบาลจีน ไม่เพียงแต่ในช่วงสงครามเท่านั้น แต่รวมถึงช่วงเวลาหลังจากได้รับสันติภาพกลับคืนมาแล้วก็ตาม

อย่างไรก็ดี ในความคิดเห็นของเรื่องนี้ยังมีประชาชนบางส่วนมองว่า การมอบเงินคือเพียง 4 หมื่นหยวน “น้อยเกินไป” เพราะถึงแม้พวกเขาจะให้ 4 แสนหยวน หรือ 4 ล้านหยวน ก็ไม่สามารถชดเชยความเมตตาของพ่อนายหยางที่มีต่อกองทัพแดงได้ ดังนั้น ไม่สำคัญว่าเงิน 400 เหรียญในตอนนั้น จะมีค่าเท่าไหร่ในตอนนี้ เพราะสิ่งนี้ไม่สามารถวัดเป็นเงินได้ แต่หากครอบครัวนี้เจอปัญหาในอนาคต รัฐบาลควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือทันที