เนื้อหาในหมวด ข่าว

เปิด 2 มุมมอง ประเด็น \

เปิด 2 มุมมอง ประเด็น "#saveทับลาน" เอื้อนายทุนหรือช่วยชาวบ้าน?

ช่วงหลายวันที่ผ่านมา หลายคนอาจเห็น #saveทับลาน ผ่านตาอยู่บนฟีดโซเชียลมีเดีย ซึ่งแฮชแท็กนี้เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจาก กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดให้ประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีการปรับปรุงพื้นที่แนวเขต ‘อุทยานแห่งชาติทับลาน’ ตามแบบแผน ONE MAP ของรัฐ  ซึ่งหากแนวเขตดังกล่าวผ่านจะส่งผลให้สูญเสียพื้นที่อุทยานฯทับลานกว่า 2.6 แสนไร่  

ขณะเดียวกันในโซเชียลเองได้มีการถกเถียงถึงประเด็นนี้กันอย่างร้อนแรง โดยมีแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ผู้ที่ไม่เห็นด้วย  เนื่องจากต้องการอนุรักษ์ป่า รวมถึงเกรงว่าแนวเขตดังกล่าวจะเอื้อต่อนายทุน และฝั่งผู้ที่เห็นด้วย เพราะพื้นที่อุทยานฯ ทับซ้อนกับพื้นที่ทำมาหากินของชาวบ้าน 

วันนี้ Sanook จึงได้รวบรวมความเห็นของทั้งสองฝั่งมาฝากทุกคน ย้อนที่มาที่ไป พร้อมทั้งเจาะลึกประเด็นว่าทำไมแต่ละฝั่งถึงมีความเห็นเช่นนั้น 

ฝั่งผู้ที่เห็นด้วย (#saveชาวบ้าน)

สำหรับผู้ที่เห็นด้วยในประเด็นนี้ ให้เหตุผลว่า พื้นที่อุทยานฯทับลานนั้นทับซ้อนกับพื้นที่ทำมาหากินของชาวบ้านมาเป็นเวลานาน ดังนั้นการจัดสรรคพื้นที่ก็จะส่งผลดีให้แก่ชาวบ้าน 

การถกเถียงเกี่ยวกับ “พื้นที่อุทยานฯทับลาน” ไม่ได้เพิ่งเริ่มมีในปีนี้ แต่มีการถกเถียงเรื่องนี้ลากยาวนานถึงสิบกว่าปี

โดยสามารถสรุปไทม์ไลน์ที่มาของปัญหาการทับซ้อนพื้นที่ป่ากับที่ทำมาหากินของชาวบ้านได้ดังนี้

  • พ.ศ. 2523 : ในสมัยรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้มีการออก ‘นโยบาย 66/2523’ เพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ โดยมีการอพยพชาวบ้านมูลหลง มูลสามง่าม บ้านคลองตาดา ออกจากพื้นที่เขตเขาสูง กว่า 150 ครอบครัว มาจัดตั้งเป็น “หมู่บ้านไทยสามัคคี” โดยจัดสรรคที่ดินให้ครอบครัวละ 10 ไร่
  • พ.ศ. 2524: มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ออกมา ซึ่งพื้นที่ของอุทยานฯทับลาน นั่นทับซ้อนกับพื้นที่ของชุมชนที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อปีที่แล้ว เกิดเป็นปมความขัดแย้งขึ้นมา
  • พ.ศ. 2543: กรมป่าไม้ สปก. ได้เข้ามาจัดสรรคแบ่งพื้นที่ทำกินกับเขตป่าอุทยานฯ อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามไม่ได้ถูกพัฒนาต่อ 

ด้วยความไม่ชัดเจนของพื้นที่นี้เอง ทำให้ชาวบ้านมีปัญหาเรื่องกรรมสิทธิที่ดิน ขาดหลายโอกาสในการลงทุน จึงเห็นด้วยหากมีการจัดสรรคพื้นที่อย่างชัดเจนอย่างในปี 2543

ฝั่งผู้ที่ไม่เห็นด้วย (#saveทับลาน)

อย่างไรก็ตามมีผู้ที่คัดค้านการปรับปรุงแนวกั้นเขตดังกล่าว เนื่องจากมีความต้องการที่จะอนุรักษ์พื้นป่าไว้ อีกทั้งยังเชื่อว่า การเฉือนพื้นที่อุทยานฯ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุนมากกว่าสิ่งแวดล้อมและชาวบ้านในพื้นที่

โดยเฟซบุ๊กเพจมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้โพสต์สรุป 6 ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากมีการเพิกถอนพื้นที่ อุทยานฯ ดังนี้

  • หากใช้เส้นแนวเขตสำรวจอุทยานแห่งชาติทับลาน ปี 2543 ตามมติ ครม. เป็นแนวเขตทับลาน อช.ทับลาน จะเป็นการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติกว่า 164,960 ไร่ ผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ
  • กระทบต่อรูปคดีที่กล่าวโทษดำเนินคดีไว้แล้วตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2504 และอยู่ระหว่างดำเนินการ เป็นนายทุน/ผู้ครอบครองรายใหม่ 470 ราย และเปลี่ยนแปลงพื้นที่ใช้ประโยชน์ 23 ราย เนื้อที่กว่า 11,083-3-20 ไร่
  • เอื้อประโยชน์ต่อนายทุนให้มีการเข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนมือเพื่อสร้างโรงแรม รีสอร์ท และบ้านพักตากอากาศเพิ่มมากขึ้น
  • ลดคุณค่าความเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ: ผืนป่าแห่งนี้เป็นต้นน้ำลำธารที่ไหลหล่อเลี้ยงชุมชนโดยรอบ และเป็นพื้นที่ความหวังในการฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง
  • เปิดโอกาสให้การใช้ประโยชน์ที่ดิน ขุด ถม อัด ตัดไม้ ทำลายสภาพพืชพรรณบริเวณนั้น ผิวดินขาดสิ่งปกคลุมในการรักษาความชุ่มชื้น และช่วยดูดซึมน้ำ จนส่งผลต่อการระบายน้ำตามธรรมชาติและอาจเกิดปัญหาน้ำท่วมอย่างฉับพลันในบริเวณพื้นที่ราบทางตอนล่างตอนช่วงฤดูฝน
  • แหล่งที่อยู่อาศัย หากิน หรือเส้นทางอพยพเคลื่อนย้ายของสัตว์ป่า เนื่องจากกิจกรรมมนุษย์เข้าไปรบกวนสัตว์ป่าตามแนวเขตเกินความสามารถในการควบคุมในพื้นที่”
  • จึงทำให้คนในโซเชียลต่างพากันติด #saveทับลาน ร่วมถึงลงชื่อคัดค้านการเฉือนพื้นที่อุทยานฯทับลาน โดยบางส่วนของความคิดเห็น

    • คัดค้าน ต้องรักษาป่าไว้ให้มากที่สุด เกิดวิกฤตสภาพดินฟ้าอากาศขนาดนี้แล้ว ต้องให้ธรรมชาติจัดการพวกที่โลภมากไม่มีความรับผิดชอบบ้าง

    สำหรับประเด็นนี้ยังเป็นเรื่องราวที่ต้องติดตามกันต่อไปว่า จะมีทิศทางไปทางไหน และจะสามารถจัดการอย่างไรให้ส่งผลดีที่สุดต่อทุกฝ่าย