"สีดา พัวพิมล" แม่อ๊อฟ อภิชาติ พระเอกผู้ล่วงลับ ซึ้งใจ "ต่าย สายธาร" 20 ปีไม่เคยทิ้ง
สีดา พัวพิมล กลับมารับงานในวงการบันเทิง ในรอบ 40 ปี ควงอดีตแฟนสาวของลูกชายผู้ล่วงลับ ต่าย สายธาร เผยความสนิท ทั้งคู่เหมือนเป็นแม่ลูกกันจริงๆ ตอบเหตุผลที่ต่ายต้องคอยดูแลซัพพอร์ตจิตใจแม่สีดา ยาวนานเกือบ 20 ปี เล่าวีรกรรมความดื้อแม่สีดา ที่ทำต่ายอดห่วงไม่ได้ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31 ที่มี หนิง ปณิตา, ซินแสเป็นหนึ่ง เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
รักกันเหมือนแม่ลูกแท้ๆ ต่ายยังดูแลแม่อยู่เรื่อยๆ?
ต่าย : ดูแลซึ่งกันและกัน ตอนนี้แม่น่าจะดูแลต่ายแทนแล้ว (หัวเราะ)
สีดา : จริงๆ แล้วไม่ค่อยสนิท คบกันแบบผิวๆ (หัวเราะ)
แม่เรียกต่ายตลอด ถามยันแปรงฟันแล้วหรือยัง?
สีดา : อำเขา เขาเพิ่งตื่น เจอกันก็อำกันตลอด เราอยากให้เขาได้หัวเราะ ชีวิตเราเหมือนไม่มีอะไร เป็นคนสนุกสนานอยู่แล้ว
แม่ดูแลอะไรต่าย?
สีดา : ไม่ค่อยได้ดูแลหรอก เขาไม่ค่อยมีเวลาให้เราดูแล นางก็จะยุ่งของนาง จะโทรหานางได้ก็ต่อเมื่อต้องรอให้นางโทรมา โทรไปนางจะไม่ค่อยรับสาย นางจะยุ่งของนาง นอกจากนางโทรมาบอกว่าแม่ ทำอะไร เดี๋ยวจะรับไปกินข้าวนะ
เวลาโทรกลับไป ผ่านไปสองสามวันหรือโทรเลย?
สีดา : โอ้ย นานเลยค่ะ
ได้ยินว่าเวลาใครติดต่อต่าย ไลน์ไปปุ๊บต้องอีกวันสองวัน?
ต่าย : ต่ายเป็นคนไม่ชอบคุยโทรศัพท์ ไม่อะไรใดๆ แต่ของแม่จะส่งสวัสดีวันจันทร์ อังคาร เราก็เปิดอ่าน สบายใจแล้วที่เขาส่งมา แสดงว่าเขาโอเค แต่ถ้าเขาไม่ส่งเราจะตาม (หัวเราะ)
ต่ายดูแลแม่สีดาตลอด 20 ปี เป็นอดีตแฟนอ๊อฟ แต่ทำไมดูแลไม่ทิ้งกันเลย?
ต่าย : จริงๆ แล้วเป็นเรื่องสัจจะมากกว่า ที่วันนั้นบอกกับพี่อ๊อฟไว้ เหตุการณ์วันนั้นที่รพ. ก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงแม่นะ ต่ายจะดูแลแม่เท่าที่จะดูแลได้ มันเป็นเรื่องของสัจจะที่ให้ไว้ค่ะ
ทำตามคำมั่นสัญญา แต่เห็นว่าไม่ชอบให้ใครบอกว่าลืมอ๊อฟยังไม่ได้?
ต่าย : แม่ก็พูด (หัวเราะ) หลายๆ คนมองว่าทำไมไม่มีแฟนสักที ก็ยังเห็นว่าเราทำบุญให้อยู่ มันก็ไม่ได้เดือดร้อนใคร แล้วชวนแม่ไปทำบุญครบรอบวันเสีย ไม่ได้ทำให้อ๊อฟคนเดียว เพื่อนคนอื่นเราก็ทำให้
ยุคนั้นต่ายก็ดังมากๆ ผลงานก็มีเยอะมาก ทำงานเพื่อสังคมช่วยเหลือคนเยอะแยะมากมาย มีโอกาสเจอคนดีๆ เยอะมากๆ แต่ก็ไม่มีแฟน?
สีดา : เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครค่ะ ยังหาใครไม่ได้เลย ขนาดยุเขานะผลักให้เขาไปมีแฟน แต่ไม่มี เขาเป็นเขาอย่างนี้ แม่ส่งเสริม เอาไปสักที แต่ก็ไม่มี
ไม่เปิดใจ?
ต่าย : เปิดนะคะ
สีดา : เปิดไม่กี่วัน (หัวเราะ)
ต่าย : แม่ก็รู้จักหมดทุกคนค่ะ แต่ส่วนมากที่เข้ามา มีเมียกันหมดแล้ว (หัวเราะ)
ชีวิตเจอแต่เรื่องผิดหวังซ้ำๆ ซากๆ หรือเปล่า พูดถึงอ๊อฟแล้วแววตาเปลี่ยน เหมือนกลั้นน้ำตาเบาๆ?
ต่าย : มันก็นึกถึงเนอะ แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเข้าใจ ว่าเป็นเพราะฝังใจ ต่ายก็มีแฟนเหมือนกัน แต่ก็เลิกไปหดแแล้ว ตอนนี้โสด
แม่มองยังไง คนคิดว่าต่ายยังลืมอ๊อฟไม่ได้?
สีดา : เราว่าเขาคงผูกพันกันมากกว่า เราก็ไม่รู้นะว่าเขาเคยสัญญาอะไรกัน มันเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน แม่เองไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวเขา เพิ่งรู้ตอนหลังว่าเขาสัญญาว่าจะดูแลแม่เอง ซึ่งเวลาเขาว่างเขาก็พาเราไปกินข้าว แม่ว่างก็ชวนเขาไปกินข้าว เขาก็จะดูแลเราเมื่อเวลาเขาว่าง
ไม่ได้สัญญาว่าจะไม่ขอมีใครอีกเลย?
ต่าย : ไม่ค่ะ ก็อยากมีนะคะ
ถ้ามีคนดีๆ มาจีบ เปิดใจมั้ย?
ต่าย : มีมั้ยคะ แม่โปรโมตหน่อยค่ะ
สีดา : ถ้ามีใครชอบก็มาเอาไปสักทีนะคะ เดี๋ยวจะแถมข้าวสารให้ด้วย (หัวเราะ) ไม่ได้แถมให้กระสอบเดียวนะ ให้ไปทั้งโรงสีเลย
ต่าย : แต่แม่บอกว่าถ้าแม่มีแฟน อย่าว่ากันนะ เราบอกว่าใครมีแฟนก็ออกจากแก๊งเราไป แม่ก็บอกว่างั้นออก ไม่รู้แอบมีหรือเปล่า
แม่มีคนมาจีบมั้ย?
ต่าย : แม่ ไม่เอา ไม่โกหกประชาชน
สีดา : ไม่มี ต่ายเพ้อเจ้อนะเราเนี่ย
ต่าย : (หัวเราะถูกใจ)
เห็นว่าชีวิตต่ายเหมือนแม่?
ต่าย : บางทีเหมือนเห็นกระจก คล้ายๆ กัน อีกมุมที่แกร่งเหมือนกัน มันเหมือนกระจกค่ะ อยู่ตัวคนเดียว
มีเรื่องที่ทำให้รู้สึกปล่อยมือกันไม่ได้?
ต่าย : จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องที่มองตากันก็เข้าใจ
วันที่มีโอกาสเจอกัน ไปกินข้าว เดินเล่น พูดคุยกัน แต่วันไม่ได้เจอกัน ต่างคนต่างกลับไปอยู่ในห้องของตัวเอง ความรู้สึกเป็นยังไง อย่างแม่อายุ 70 แล้ว หลายคนห่วงแม่?
สีดา : จริงๆ แล้วการมีชีวิตอยู่คนเดียวก็ดีนะ มันชินแล้วไงคะ อยู่คนเดียวมา 20 ปีต้นๆ ส่วนตัวแม่ก็มีความรู้สึกชิน เริ่มชิน เริ่มไม่ต้องมีใครก็ได้หรือเปล่า เราก็สู้มาได้ด้วยตัวเองตลอดเวลา ต่ายก็ยังเป็นห่วงเป็นใย ลูกสาวก็ยังเจือจุนอะไรต่ออะไร เราก็รู้สึกว่าเริ่มชินแล้วนะ สบายดีอยู่ตัวคนเดียว แต่อาจเหงาหน่อย ดึกๆ ชอบนั่งคนเดียวอยู่หน้าระเบียง ตีสองตีสาม นั่งคุยกับกำแพง
ต่าย : ถ้าอยู่ได้ก็ห้ามมีแฟนนะ
สีดา : ไม่มีก็เพราะเธอนี่แหละ ไม่มีใครเข้ามา (หัวเราะ)
จัดการความเหงายังไง?
สีดา : ด้วยความที่ชิน ก็หาทำโน่นนี่ไปเรื่อยๆ ในห้องเรา ถามว่าเหงามั้ย ก็เหงานะ
เวลาแม่เหงา แม่จะนั่งร้องไห้ แล้วเรียกหาอ๊อฟ คุยคนเดียว?
สีดา : แม่ไม่ได้เป็นประสาทแบบนั้นนะลูกนะ ส่วนใหญ่แม่พูดเรียกในใจเฉยๆ ไม่ได้ตะโกนเรียกหาอ๊อฟ เดี๋ยวใครไม่รู้จะส่งแม่เข้ารพ.ศรีธัญญา (หัวเราะ) จะไม่มาแบบนี้ เพียงแต่เรานึกถึงเขาในใจเรา เป็นเรื่องปกติแม่ลูก เราเบ่งเขาออกมา วันนึงไม่มีเขา เราก็นั่งนึก อ๊อฟอยู่ที่ไหนน้า อยู่ตรงไหน อะไรยังไง ทั้งคุณยายก็เรียกหมด นึกถึงลูกสาวด้วย เรายังมีลูกสาวอีกคนนึง
ทุกวันนี้ยังคิดว่าเขาอยู่ใกล้ๆ มั้ย?
สีดา : คิดค่ะ ใครจะว่าแม่มโน แม่ไม่สนใจนะ แม่คิด ถ้าเป็นคนอื่นก็คิด ถ้าเป็นลูกเขา ถ้าบอกว่าไม่คิดก็ไม่เชื่อหรอก
ต่าย : เหมือนต่ายสูญเสียแม่ไปแล้ว ก็คิดเหมือนกันเลย รู้สึกว่าเขาไม่ได้ไปไหน แค่ย้ายมาอยู่ในความทรงจำ
สีดา : เราเป็นแม่ อีกอย่างเราอยู่คนเดียว ความรู้สึกนึกคิดของเราก็ยังคิดตลอดเวลาอยู่แล้วว่าลูกอยู่ใกล้ๆ เรา บางทีนั่งหน้าระเบียงคนเดียว อ๊อฟอยู่ไหนลูก บางทีก็อยากไปอยู่กับหนูนะ แต่อย่าเพิ่งดีกว่า (หัวเราะ)
ต่าย : อยู่เป็นเพื่อนหนูก่อน จะรีบไปไหน
แม่มีปัญหา ก็ไม่ค่อยเอาปัญหามาปรึกษาต่าย?
สีดา : เราไม่อยากรบกวนใคร เรารู้สึกว่าปัญหาที่มีเดี๋ยวก็คลายได้ เราแก้ได้ เขาบอกว่าทำไมไม่บอก ก็ไม่รู้บอกทำไม เราก็ต้องมีความเกรงใจคนบ้าง อย่าเอาปัญหาเราไปให้เขารับรู้หรือห่วงมากมายเลย ไม่ได้มีปัญหามากมายหรอก บางทีเหงาแค่นั้นเอง โทรไปเขาก็ไม่ค่อยรับหรอก ต้องรอเขาโทรมา
ต่าย : ต่ายไม่ชอบไปไหน แต่แม่อะเลิด เที่ยวเก่ง หนีเที่ยว
ต่ายมีอะไรก็ไม่บอกแม่?
สีดา : เขาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่บอก เรารู้จากคนอื่นรอบข้างหมด
ต่าย : คำตอบเหมือนกัน ไม่อยากให้ไม่สบายใจ เขาก็ถามตลอดทำไมห้องปิดไฟ เปิดไฟ
สีดา : ก่อนเข้าสถานที่ที่เราพัก เราจะผ่านของเขาก่อน เรานั่งในรถแท็กซี่ก็มองทั้งเข้าทั้งออก มองห้องเขาเปิดไฟหรือเปล่า ไปไหน หลายวันแล้วไม่เห็นเปิดไฟ โทรไปก็ไม่รับสาย แต่นางก็เป็นแบบนี้ เราเข้าใจนางมีโลกส่วนตัว เขาบอกว่าอยู่ อยู่อะไร ทำไมห้องปิดไฟตลอด
ต่าย : จะให้เปิดไฟตลอด กลางคืนก็ต้องปิดไฟแม่ (หัวเราะ)แล้วถามว่าทำไมประตูปิด หนูปิดระเบียงค่ะ
สีดา : บางทีเราไม่รู้นางไปไหน ทำไมหลายวันแล้ว กลางคืนนางไม่เปิดไฟเลยหรือยังไง เราห่วงไง โทรไปก็ไม่รับสาย บางทีก็หงุดหงิดนะ แต่ไม่อยากโทรไปต่อว่าเขาหรอก
ต่ายรู้สึกยังไงแม่ห่วงเรา?
ต่าย : ยิ่งเกรงใจ ยิ่งไม่อยากให้รู้เท่าไหร่ กลัวแม่ไม่สบายใจ
คำพูดแม่ที่ทำให้ต่ายน้ำตาซึมตอนต่ายเจอแม่ จำถึงทุกวันนี้?
ต่าย : ตอนนั้นแม่โกนหัวบวช ก็รับแม่ไปทานข้าว ตอนทานข้าวแม่จะบอกว่าเนี่ย แม่ไม่ได้ทานเนื้อไก่ หรือหมูมานานแล้ว กินแต่ไข่จนหน้าจะเป็นไข่หมดแล้ว
สีดา : เคยเล่าให้น้องหนิงฟัง ว่ากินไข่จนจะขันได้
วันนี้ทุกอย่างดีขึ้น?
สีดา : ดีขึ้นบ้างค่ะ ต้องขอบคุณเบื้องบน อาจด้วยคนเราเนอะไม่รู้วิบากกรรม อาจจะถึงเวลาที่เขาพิสูจน์อะไรเราหลายๆ อย่าง ถูกพิสูจน์หนักมากนะ เป็นบททดสอบที่หนักมากสำหรับชีวิตเรา ตอนนี้ดีขึ้นแล้วค่ะ อย่างที่เคยคุยกับน้องหนิง จากที่ได้กินไข่จนบอกว่าจะขันได้แล้ว ตอนนี้ก็ได้กินไก่ กินหมูได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นถึงขนาดอู้ฟู่ แต่ก็ดีขึ้น
เวลานัดจริงจังไม่เคยตรงนัดสักที?
สีดา : นัดไม่ได้ไป แต่ถ้าว่างชนกันเมื่อไหร่ ชวนเมื่อไหร่ก็จะได้ไป
ที่ไหนเขาพาไปเปิดหูเปิดตาแล้วตื่นเต้น?
สีดา : ชอบทุกที่ แต่มีอยู่ที่นึงไม่ชอบ ไม่ว้าวด้วย เป็นบาร์โฮส ต่ายพาแม่เข้าไป
ต่าย : แม่ไปก่อน
สีดา : บ้าเหรอ แม่จะรู้จักได้ไง ครั้งแรกลูกพาแม่ไป แม่ไม่เคยรู้จักพวกนี้
ต่าย : ไม่ใช่ ทีมงานหนูพาไปก่อน
สีดา : เหรอ ไม่รู้ แม่ไม่ชอบ
ต่าย : ต้องอธิบายก่อน คือน้องทีมงาน เจ้าของ เราสนิทกัน ไปที่นั่นไม่ได้ไปแอ๊วผู้ชายนะคะ ไปบาร์โฮสสั่งกินส้มตำ (หัวเราะ) นั่งฟังเพลง ทีมงานเขาไปก่อน วันนั้นวันแม่ 2-3 ปีติดโควิด ก็บอกทีมงานว่าพาแม่ไปทานข้าวที่ไหนก็ได้ เราก็รออยู่ที่ห้อง พอถามว่าเขาพาแม่ไปไหนมา เขาบอกพาไปบาร์โฮสมา (หัวเราะ) จริงๆ ตรงนี้ที่เราไปคือมันส่วนตัว เรารู้จักด้วย เราไม่ได้ไปแบบนั้น เราไปกินข้าว ฟังเพลงมากกว่า
สีดา : ด้วยวัยเรา ลูกไปไหนเราก็ต้องไป
ต่าย : ครั้งที่สองถึงไปด้วยกัน
สีดา : ก็ปฏิเสธไม่ได้ ลูกพาไป
ไม่กระชุ่มกระชวย?
สีดา : ไม่ชอบเลย
ไม่ตื่นเต้นกับบรรยากาศเหรอ?
สีดา : หนวกหู ไม่ชอบ เข้าไปคนก็ยกมือไหว้เหมือนศาลพระภูมิ
ต่าย : (หัวเราะ) ไหว้ตลอดค่ะ
สีดา : สถานที่แบบนี้ เอาจริงๆ แม่ไม่ชอบอยู่แล้ว มันไม่สนุก หรืออาจเป็นเพราะเราอายุเยอะแล้วเนอะ มันก็ไม่ได้เร้าใจอะไรเลย
มองเป็นเรื่องขำๆ คนยกมือไหว้แม่ เขาก็ต้องดูแล ชวนคุย?
ต่าย : ส่วนมากเราไปกับทีมงาน เราคุยกับแต่พวกเรา กับน้องๆ ซะส่วนใหญ่
สีดา : แม่ไม่คุยกับใคร (หัวเราะ)
ต่าย : จากนั้นก็สลับไปที่ของแม่บ้าง
สีดา : ถ้าว่างเพื่อนก็อยากให้ออกไปรีแลกซ์ ก็ไปที่ร้องเพลง เต้นได้ คาราโอเกะ นั่งกันสบายๆ อารมณ์ดี ถามว่าชอบร้องเพลงมั้ยไม่ได้ชอบ แต่เขาไปสนุกกัน เราก็ร้องไป
ต่าย : ร้องสากล และเต้นด้วย
พาไปถนนข้าวสารด้วย ยังไง?
ต่าย : ทีมงานเอาคลิปมาจากไหน เก่งมากเลยนะ
สีดา : เขาอีกเหมือนกัน แม่ก็ไม่ชอบอีก
ต่าย : ต้องบอกว่าวันนั้นจะทำช่องของตัวเอง ก็คุยกับแม่ว่ามาทำช่องด้วยกัน เป็นสองมุมมองของสองเจน ว่าเรารู้สึกแบบนี้ แม่เป็นแบบไหน ยุคก่อนเป็นยังไง ที่พาแม่ไป แม่ไม่ชอบสักที่ค่ะ(หัวเราะ)
สีดา : เขาชวนไปเราก็ต้องไปเนอะ จะไปงอแงก็ไม่ได้
ต่าย : ที่ไปก็ไม่ได้ไปเที่ยว ไปทำงานมากกว่า ไปทำคอนเทนต์กัน
ไปจริงแล้วคุยกันรู้เรื่องมั้ย?
สีดา : ไม่ค่อยรู้เรื่อง เสียงมันดัง ไม่ค่อยคุย เน้นกิน
แม่อายุ 70 แข็งแรงมาก โควิดก็ไม่เป็นเลย?
ต่าย : แม่เป็นโคโยตี้ ชอบเต้น (หัวเราะ)
รองเท้าแม่สูง เดินได้?
สีดา : แม่เดินแบบนี้จริงๆ ใส่ส้นสูงก็เดินได้
แม่เต้นสักเพลง?
สีดา : ไม่เอ๊า! (หัวเราะ)
แม่ถึงขั้นกราบกรานขอร้องให้ต่ายไปตรวจสุขภาพ?
สีดา : ไม่แข็งแรงเลย เป็นมากกว่าแม่อีก
ต่าย : โควิดรอบ 2 แล้วค่ะ เกือบเดือนแล้ว เป็นลองโควิดด้วย ก็เหนื่อย อยู่คนเดียว แต่มีตรวจสุขภาพค่ะ คนไม่ตรวจเลยคือแม่ค่ะ
สีดา : แม่เป็นคนแข็งแรงจริงๆ โควิด โคหวัดไม่เคยเป็นสักครั้งเดียว คนอื่นเขาเป็นกันหมดถ้วนหน้า มีปีไหนไม่รู้ รุ่นน้องเลี้ยงวันเกิดให้แม่ ไปกันประมาณ 20 คน เราคนเดียวที่ไม่เป็น เขาเป็นกันหมดทุกคน
แม่ขอร้องให้ต่ายตรวจสุขภาพ แต่ต่ายก็ห่วงสุขภาพแม่?
ต่าย : แม่ปากแข็ง แม่มีความดันด้วย ช่วงไม่ได้เจอกัน เจอทีไรก็จะพูดว่าแม่ผอมลงอีกแล้วนะ ไม่สบายหรือเปล่า บางทีเขาป่วยแล้วไม่บอก บางทีก็ถามว่ายาหมดหรือยัง ก็สังเกต บางทีเงียบๆ ไม่ได้เจอกัน ผอมลงก็จะถามแล้ว
สีดา : ตอนนี้อ้วนแล้ว ที่แม่ไม่ยอมไปตรวจไม่ใช่อะไรหรอก แม่รู้สึกว่าแม่แข็งแรง ถ้าไปตรวจขึ้นมาแล้วหมอบอกว่าเป็นอะไร แม่จะรู้สึกแย่
ต่ายเคยคิดอำลาวงการ ไปอยู่เชียงใหม่?
ต่าย : มีบ้านอยู่เชียงใหม่ พอแม่เสียก็ไม่ได้กลับไปบ้านเลย ก็อยากกลับไปพักบ้าง ช่วงนี้รุ่นใหม่มา รุ่นเก่าก็ต้องไป
ชวนแม่สีดาไปด้วย แต่แม่ไม่ยอมไป?
ต่าย : ไม่ได้ ตอนนี้คิวแน่นมาก เขาอาจไม่ชิน เข้าใจค่ะ แต่ก็รอนะแม่นะ
ทำไมไม่ไป?
สีดา : ก็ชอบอยู่นะเชียงใหม่ แต่เราจะไปเป็นภาระเขาทำไม เรายังอยู่เพื่อทำโน่นนี่นั่นได้ ถ้าไปก็เป็นภาระลูก เราไปอยู่ตรงนั้นเราก็ไม่ได้รู้จักใคร ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร ตรงนี้ยังมีเพื่อนฝูง พี่น้อง
จะลาวงการจริงมั้ย?
ต่าย : เคยคิดค่ะ แต่ถ้ายังมีงานจ้างอยู่ก็จ้างได้นะคะ จริงๆ ไม่เคยเล่นละครคู่แม่เลยนะ จ้างได้นะคะ
แม่สีดา จะกลับมาทวงบัลลังก์ที่สมศักดิ์ศรีในรอบ 40 ปี?
สีดา : วิมานหนามวันนี้วันแรกที่ออกฉาย ตื่นเต้นและดีใจ เราเล่นด้วยนะ 40 ปีที่ไม่ได้เล่นหนังใหญ่ เมื่อก่อนเรามาจากหนังใหญ่ แล้วมาลงละคร เหมือนกลับบ้านเกิด บทจริงๆ ก็เล่นเป็นตัวเราซะเยอะ เราก็จิก สูบบุหรี่ นิ่งๆ มองด้วยสายตา ถามว่าคิดนานมั้ยก็คิดอยู่ว่าทำไมเขาถึงเลือกเรา ตอนแรกเขาให้ไปแคสก่อน เราก็รู้สึกว่าเฮ้ย เราก็เป็นนักแสดงอยู่แล้ว ทำไมต้องไปแคสด้วย สมัยนี้ต้องแคส ก็รู้สึกว่าถ้าเราแคสแล้วไม่ได้เราหน้าแตกนะ ปรากฏว่าได้ เพราะทางน้องบอสและบริษัทจีดีเอชเลือกแม่เข้าไปเล่นตรงนั้น เราก็ไม่ได้เล่นหนังมานานมาก เราก็รู้สึกถ้าเราไปแคสแล้วไม่ผ่านเราหน้าแตกแน่ๆ เลย
กังวลใจ?
สีดา : มากค่ะ พอเสร็จก็บอกว่าโอเคเลย เขาอาจโอเคตั้งแต่แรกแล้ว
ในเรื่องสนิทกับอิงฟ้ามากๆ ทั้งที่เล่นจิกกัดกัน?
สีดา : น้องอิงฟ้าด้วยตัวเขาเป็นเด็กน่ารักโดยเนเจอร์เขาอยู่แล้ว เขาดูแลเรา เมตตาเรา ถ่ายเสร็จก็ชวนไปกินข้าวทุกวัน ทุกคืน น้องเป็นคนกินเก่งมาก ลูกชวนไปเราก็ไป
ชวนคนดูไปดูภาพยนตร์?
สีดา : วิมานหนามฉายวันนี้วันแรก อยากชวนทุกท่านไปดูกัน อย่ารอสปอย พุ่งไปเลย หนังดีมากเลย
ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama