เนื้อหาในหมวด ข่าว

พ่อสุดช็อก ลูกแรกเกิดถูกสลับตัวใน รพ. เกือบได้ไปอยู่พม่า เอะใจขอตรวจ DNA

พ่อสุดช็อก ลูกแรกเกิดถูกสลับตัวใน รพ. เกือบได้ไปอยู่พม่า เอะใจขอตรวจ DNA

พ่อแชร์ประสบการณ์สุดช็อก ลูกแรกเกิดถูกสลับตัว เกือบได้ไปอยู่พม่า เอะใจขอตรวจ DNA รพ.ยอมรับผิดพลาดจริง นัดไกล่เกลี่ยค่าเสียหาย 

จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์เล่าเหตุการณ์เด็กแรกเกิดสลับตัวกันที่โรงพยาบาล ระบุว่า “ลูกสาวผมเกิดวันที่ 11 ส.ค.67 น้องหายใจเร็วเลยต้องแยกห้องกับแม่ แม่นอนห้องพักฟื้นลูกนอนห้องอภิบาลแล้วต้องมีการให้ยาฆ่าเชื้อ 7 วันโรงพยาบาลให้เยี่ยมได้เวลา 18.30-20.00 น. ผมกับภรรยาก็ไปเยี่ยมตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค.67 ในห้องอภิบาลเขาห้ามถ่ายรูปแต่ผมก็แอบถ่ายลูกไว้ทุกวัน ไว้ส่งให้แม่ผมและส่งให้ญาติๆ ดู ทุก ๆ วันผมไปเยี่ยมลูกตามปกติแล้วก็แอบถ่ายรูปลูกไว้ทุกวัน

พอวันที่17 ส.ค.67 ไปเยี่ยมลูก หน้าลูกเปลี่ยน ผมก็เปลี่ยนจากผมยาวก็สั้น จากมีคิ้ว คิ้วก็หาย ป้ายชื่อที่ข้อมือซ้ายกับขาขวาก็หาย เสื้อผ้า ผ้าขนหนูก็ไม่ใช่ของลูกผม สอบถามพยาบาลว่าป้ายชื่อหายไปไหนครับ เขาบอกว่าอาจหายตอนอาบน้ำ แล้วเสื้อผ้าในกล่องอาจจะสลับกันได้ ตอนแรกกะว่าจะเดินดูเด็กทุกคน แต่มีเด็กข้างๆ มีการเอกซเรย์เลยต้องออกจากห้องก่อน

แล้ววันที่ 18 ส.ค.67 ลูกผมครบกำหนดให้ยาฆ่าเชื้อ ผมก็ไปรับกลับบ้าน ผมมองลูกที่ได้กลับมาบ้านมองยังไงก็ไม่ใช่ลูกผม สับสนกับตัวเองว่าใช่หรือไม่ใช่ ดูรูปที่ถ่ายไว้กับตัวจริงตลอดจนต้องได้โทรไปสอบถามโรงพยาบาลอีกครั้งว่า ผมสงสัยว่าไม่ใช่ลูกผม ผมช่วยให้โรงพยาบาลการันตีหรือพูดให้สบายใจหน่อยได้ไหมว่าคนนี้เป็นลูกผม เขาก็บอกว่า “ลูกของคุณพ่อไม่เหมือนเด็กคนอื่นลูกคุณพ่อต้องให้ยา7วันที่ข้อมือจะมีรอยช้ำจากการถูกเจาะเลือดมัน” ก็มีจริงผมก็ถามไปอีกว่าแล้วทำไมผมสั้นลงคิ้วหายไป เขาก็บอกว่าเด็กหน้าเปลี่ยนทุกวัน

จนคืนวันที่ 20 ส.ค.67 ผมทนไม่ไหวเลยโพสต์ลงในกลุ่มให้เพื่อนๆ ดูว่าเด็กในรูปคนเดียวกันไหม ส่วนใหญ่บอกว่าคนละคน แนะนำให้ไปโรงพยาบาลไปตรวจ DNA รวมกับในใจก็คิดว่าคนละคน เช้าวันที่ 21 ส.ค.67จึงรีบพาลูกกับภรรยาไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบแล้วก็เล่าเหตุการณ์ให้พยาบาลฟังทั้งหมด แล้วก็เริ่มการเจาะเลือดผมกับภรรยาแล้วก็เด็กที่ผมนำกลับบ้านไปวันที่18 ส.ค.67 ผลออกมาคือเด็กกรุป B ผมกรุป AB ภรรยากรุป A ผมโกรธและโมโหมากเสียใจมากสงสารลูกผมมาก

จากนั้น รอง ผอ.รพ.ก็มาคุย ผมบอกทำยังไงก็ได้ขอเจอลูกตัวจริงวันนี้คือวันที่ 21 ส.ค.67 ทางโรงพยาบาลก็หามาจนเจอ ก็มีการเจาะเลือดทั้งสองครอบครัว ครอบครัวเขา B ทั้งบ้าน ส่วนลูกผม AB ผมได้คุยกับอีกครอบครัวนั้นเขาบอกว่าน่าจะสลับวันเสาร์เพราะเขาก็ว่าอยู่ทำไมลูกเขามีคิ้วทั้งที่ตอนแรกไม่มีครอบครัวนั้นเป็น (ชาวเมียนมา) นะ

ลูกผมถูกให้ยาฆ่าเชื้อเกินลูกของชาวเมียนมาถูกให้ยาฆ่าเชื้อขาดกำหนดคือต้อง 7 วันตามที่พยาบาลบอกผมวันแรกที่ลูกผมแยกห้องกับแม่เขาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีผลอะไรไหม ตอนนี้ที่ทางโรงพยาบาลรับผิดชอบคือเจาะเลือดให้ฟรีแล้วก็พาไปตรวจ DNA ตอนนี้รอผล DNAแล้วจะนัดไกล่เกลี่ยกันอีกที”

ล่าสุด เจ้าของโพสต์ได้มาอัปเดตเรื่องที่เกิดขึ้นว่า “#อัปเดตล่าสุด 15/9/67 ผล DNA ออกแล้ว ผมได้ไปคุยกับทางโรงพยาบาลมาแล้วในวันที่ 13/9/67 ผลก็เป็นไปตามนั้นเด็กสลับตัวกันจริง ทางโรงพยาบาลจึงรับผิดชอบ โดยให้สิทธิรักษาลูกผมฟรีแบบพิเศษ ซึ่งแบบพิเศษที่เขาว่าคือไม่ต้องต่อคิว ถ้าจะไปให้โทรไปบอกเขาว่าเป็นอะไรเขาจะเตรียมทำเอกสารไว้ให้จนน้องอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ แค่นั้น ผมจึงขอค่าเยียวยาจิตใจไปสองแสนบาทโดยแบ่งให้บ้านของชาวเมียนมาด้วยหนึ่งแสนบาท

โดยสองครอบครัวไม่ได้เข้าไปคุยพร้อมกันคุยคนละวันแต่ที่หมอบอกเขาจะให้สิทธิเหมือนกันทั้งสองครอบครัว โดยทางโรงพยาบาลบอกว่ารักษาฟรีทำได้เลยทันที ส่วนเงินเขาให้รอไปอีก 2 อาทิตย์ แต่ไม่รับปากนะว่าจะได้ครบไหมอาจจะครบหรือไม่ครบเขาจะไปลงขันรับบริจาคกันก่อน มีแบบนี้ด้วยเหรอครับ??

ไม่เป็นไรรอก็รอครับเรื่องแบบนี้ทางโรงพยาบาลน่าจะทำให้จบให้เร็วที่สุดไม่น่าปล่อยเวลาให้มันนานเดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องใหญ่ ฝากด้วยครับเพื่อนๆ ทำอะไรอย่าประมาท ทำอะไรควรมีหลักฐานยืนยัน ในกรณีนี้ถ้าผมไม่มีหลักฐานยืนยันจบครับลูกผมไปอยู่เมียนมาแล้ว!!! #ผมมาโพสต์เป็นกรณีศึกษาไว้นะครับ”

รพ.ยอมรับผิดพลาดจริง สลับตัวเด็กทารก นัดไกล่เกลี่ยค่าเสียหาย 

ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครแล้ว ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของโรงพยาบาลจริง คาดว่าเกิดเหตุสลับตัวขณะนำเด็กไปตรวจ โดยเมื่อพ่อของเด็กท้วงติงถึงความผิดปกติ รพ.ได้ดำเนินการส่งตรวจดีเอ็นเอ โดยในวันพรุ่งนี้ (16 ก.ย.67) โรงพยาบาลได้นัดพ่อแม่ของเด็กมาพูดคุยเพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องค่าเสียหาย

ดร.ธนกฤต เปิดเผยด้วยว่า ได้ให้คำแนะนำกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดให้ปรับแผนการดูแลเด็ก โดยให้ติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำรอย เพราะการติดป้ายชื่อเด็กอาจไม่เพียงพอ ซึ่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และทางโรงพยาบาล รับที่จะนำไปดำเนินการ