พินัยกรรมทำช็อก แม่เฒ่ายกมรดกให้ "ลูกเขยปรสิต" เงินไม่ใช่น้อยๆ รู้เหตุผลลูกในไส้หน้าชา
ลูกเขยถูกเรียกเป็น "ปรสิต" เกาะครอบครัวเมียกิน แต่เปิดพินัยกรรมแม่ภรรยา เขียนชัดยกมรดกให้ไม่ใช่น้อยๆ รู้เหตุผลลูกในไส้หน้าชา
เรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในประเทศจีน ยังคงได้รับความสนใจและความเห็นอกเห็นใจอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อถูกนำมาโพสต์บนเว็บไซต์ข่าว Sohu ซึ่งเล่าเหตุการณ์หลังหญิงชราคนหนึ่งเสียชีวิต และมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กับ “ลูกเขย” แทนที่จะเป็นลูกทางสายเลือด พร้อมเผยเหตุผลที่รู้แล้วปวดใจ
ตามรายงานพบว่า แต่เดิมลูกเขยคนนี้ถูกเรียกว่า “ปรสิตของครอบครัวภรรยา” เนื่องจากเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน อีกทั้งพ่อแม่เสียชีวิตเร็ว เขาเป็นลูกคนโตจึงต้องดูแลทุกอย่างในครอบครัว และหาเงินมาเลี้ยงดูน้องชาย ในขณะที่ภรรยาเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างมั่งคั่ง ทั้งพ่อและแม่ของเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
หลังจากตัดสินใจแต่งงานกันด้วยความรัก ภรรยาก็พาสามีกลับบ้านมาพบครอยครัว ในตอนแรกพ่อแม่ของเธอคัดค้านอย่างรุนแรง แต่ด้วยความมุ่งมั่นของลูกสาวในที่สุดพวกท่านก็ยอมรับ แต่ยังคงมีเงื่อนไขคือ “ลูกเขยต้องแต่งเข้าบ้าน” เพราะกลัวว่าลูกสาวจะไปอยู่ไกลบ้าน
ในช่วงที่ย้ายเข้ามาอาศัยในบ้านของภรรยา เธออดที่จะเป็นห่วงสามีไม่ได้ เพราะแม้ว่าเขาจะทำงานทั้งในและนอกบ้านอย่างหนัก แต่ก็มักจะต้องทนกับคำวิจารณ์ใส่ร้ายเกี่ยวกับการเป็น "คนตัวเปล่า" จากญาติและเพื่อนบ้าน ทั้งพ่อแม่และพี่น้องปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชา และมักสั่งให้ช่วยทำงานบ้าน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การทำงานหนักและความซื่อสัตย์ของเขาก็เข้าถึงใจทุกคน พ่อตาเริ่มดื่มชาและคุยกับลูกเขยบ่อยขึ้น และแม่ยายก็เริ่มใส่ใจลูกเขยทุกครั้งที่กลับจากที่ทำงาน
ไม่ใช่ลูกโดยกำเนิด แต่ดีกว่าลูกโดยกำเนิด
เมื่อพ่อแม่ของภรรยาอายุมากขึ้น โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็เริ่มถามหา แต่ลูกๆ ก็มาเยี่ยมแค่ไม่กี่ครั้งต่อปี แม้ว่าพ่อจะเข้าโรงพยาบาล ก็ไม่สนใจดูแลเท่าที่ควร มีเพียงลูกเขยและลูกสาวเท่านั้นที่คอยอยู่ดูแลสม่ำเสมอ
กระทั่งในปี 2561 พ่อของภรรยาเสียชีวิต หลังจากที่ล้มป่วยจนลูกสาวต้องลาออกจากงานมาดูแลเป็นเวลา 4 ปี ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น ลูกเขยที่เคยได้ชื่อว่า “ลูกเลขปรสิต” กลับวิ่งวุ่นเพื่อดูแลทุกอย่าง ในตอนกลางวันไปทำงาน และตอนกลางคืนไปโรงพยาบาลเพื่อดูแลพ่อตา เมื่อเห็นเช่นนี้แม้แต่คนในโรงพยาบาลก็ยังเอ่ยชื่นชม ว่าพ่อมีลูกชายที่กตัญญู
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพ่อตาก็นิ่งไปทันที ก่อนกล่าวว่า " ความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉัน คือการให้กำเนิดลูกที่เห็นแก่ตัวและเย็นชา 3 คน แต่สิ่งที่โชคดีที่สุด คือได้พบกับลูกเขยผู้กตัญญูคนนี้ เขาไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของฉัน แต่เขาเป็นมากกว่าลูกชายแท้ๆ ของฉัน”
หลายครั้งภรรยาบอกสามีให้ลดเวลานอนโรงพยาบาลกับพ่อของเธอลง เพราะกลัวจะเหนื่อยล้าจนเกินไป แต่เขากลับพูดในสิ่งที่ทำให้เธอน้ำตาไหล บอกว่า “ผู้สูงอายุต้องได้รับความเอาใจใส่อย่างมาก พ่อเสียใจมากที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ถ้าไม่มีญาติไปเยี่ยมเขาคงยิ่งหดหู่ใจมากขึ้น”
ในช่วงสุดท้ายของชีวิตพ่อตา ลูกเขยยังคอยดูแลอยู่เคียงข้างเสมอ ก่อนที่ชายชราจะจากโลกนี้ไป ยังได้สั่งเสียให้ลูกสาวปฏิบัติต่อสามีให้ดี เพราะเขาเสียสละเพื่อครอบครัวนี้มามาก มากกว่าญาติทางสายเลือดของเขาเองเสียอีก
หลังจากที่พ่อตาจากไป ด้วยความโศกเศร้ามากมายก็ทำให้สุขภาพของแม่ยายแย่ลงไปด้วย ในตอนนั้นภรรยาต้องดูแลลูกและแม่ไปพร้อมๆ กัน ดังนั้นบางครั้งฉันก็รู้สึกเหนื่อย แต่พอโทรไปขอความช่วยเหลือจากพี่น้องก็ได้รับคำตอบว่างานยุ่งมากๆจึงไม่มีเวลามาช่วยดูแลแม่ สุดท้ายก็เป็นเธอและสามีที่ยังคอยดูแลแม่ต่อไป
กระทั่งเมื่อหญิงชราเสียชีวิตในเดือนพฤศจิกายน 2562 เธอทำพินัยกรรมมอบเงินออมทั้งหมด 1.5 ล้านหยวน (มากกว่า 7 ล้านบาท) รวมทั้งมอบบ้านให้กับ “ลูกเขย” เพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อลูกๆ ในสายเลือดทราบข่าวก็ไม่ยอมรับ และเรียกร้องส่วนแบ่งมรดกที่พ่อแม่ทิ้งไว้
ในเวลานี้ ลูกเขยซึ่งสุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ จู่ๆ ก็เข้ามาในห้องพร้อมเอกสารกองหนึ่ง หลังจากเห็นเอกสารเหล่านั้นทุกคนก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ทั้งหมดนี้เป็นเวชระเบียน บันทึกการรักษาในโรงพยาบาล และใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลผู้สูงอายุทั้งสองคนตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ในช่วงเวลาที่ลูกๆ ละเลยและไม่สนใจ พ่อของพวกเขาเข้าโรงพยาบาล 20 ครั้ง พักรักษาตัวในโรงพยาบาลรวม 206 วัน และใช้เงินไป 650,000 หยวน (มากกว่า 3 ล้านบาท) ส่วนแม่เข้าโรงพยาบาล 10 ครั้ง และพักรักษาตัวในโรงพยาบาลรวม 90 วัน
ไม่เพียงแต่ค่ารักษาพยาบาลที่มีจำนวนมากเท่านั้น แต่ในวันสุดท้ายของชีวิตผู้สูงอายุทั้งสองคน สิ่งที่ผู้เป็นพ่อและแม่ต้องการมากที่สุดก็คือ ความเอาใจใส่จากลูกๆ ของพวกเขา แต่ทุกคนกลับไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ดังนั้น ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจพวกท่านจึงถือว่า “ลูกเขย” เป็นบุตรชายแท้ๆ เพียงคนเดียวเท่านั้น