
เปิดใจ "พรีม รณิดา" เผยชีวิตจริงยิ่งกว่าบทนางเอก เล่าเหตุย้ายประเทศจากอิตาลีมาอยู่ไทย
โบกมือลาอีกรายสำหรับนางเอกสาวลูกครึ่งไทย-อิตาลี พรีม รณิดา ที่ออกมาเปิดใจหลังผันตัวเป็นนักแสดงอิสระหลังอยู่กับสังกัดเก่ามา 13 ปี พร้อมเปิดเผยเรื่องราวชีวิตที่ยิ่งกว่านางเอกกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญพ่อแม่แยกทางกันต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่อายุ 14 ปี และต้องคอยดูแลพี่ชายที่ป่วยเป็นดาวน์ซินโดรมในรายการคุยแซ่บ Show ทางช่องOne31 ที่มี เบนซ์ พรชิตา และ ดีเจพุฒ พุฒิชัย เป็นพิธีกร
ตอนนี้ออกมาเป็นฟรีแลนซ์แล้วเรียบร้อย เพราะอะไรไม่ต่อสัญญากับที่เดิม ?
พรีม : ใช่ค่ะ ต้องบอกก่อนว่าพรีมอยู่กับช่อง 3 มา 13-14 ปีแล้วค่ะ ตั้งแต่เด็กเลย พอเราเริ่มโตขึ้นบวกกับพรีมทำอะไรหลายอย่างด้วยช่วงนี้ เลยรู้สึกว่าการที่เราออกมาเป็นฟรีแลนซ์ น่าจะตอบโจทย์กับพรีมมากกว่า
ตอนที่ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาคุยกับผู้ใหญ่อย่างไรบ้าง ?
พรีม : ใช้เวลาคิดค่อนข้างนานเหมือนกัน มันไม่ใช่การตัดสินใจอะไรที่ง่ายๆ แต่ผู้ใหญ่ก็น่ารักก็เข้าใจ เรามีปรึกษาเพื่อนๆรอบข้างเรา พี่ๆผู้จัดการแล้วก็มีปรึกษาพูดคุยกับผู้ใหญ่อยู่เรื่อยๆ
เราก็ยังกลับไปเล่นที่ช่องได้อยู่ ?
พรีม : ได้ค่ะ จริงๆ พรีมก็มีละครอยู่ 2 เรื่องที่ถ่ายทำจบไปแล้ว รอออนแอร์กับทางช่องอยู่
การตัดสินใจมีช่วงกังวลมั้ย ?
พรีม : เป็นคำว่าหวิวๆ มากกว่า เราก็อยู่กับที่เดิมมา 13 ปีมันก็ยาวนาน เป็นความกังวลที่รู้สึกตื่นเต้นมากกว่า อาจจะได้มาเจออะไรใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ
พอออกจากช่องแล้วมีงานอื่นที่เราจะได้เห็นมั้ย ?
พรีม : มีค่ะ จริงๆ พรีมมีผลงานเรื่องใหม่ที่จะเป็นบทบาทใหม่ๆ ได้เจอกับทีมงานใหม่ๆที่พรีมไม่เคยเจอมาก่อน รอติดตามกันดูค่ะ
ชีวิตวัยเด็กผ่านอะไรมาเยอะมาก ตั้งแต่ 1 ชวบต้องย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศ จริงๆ เกิดที่เมืองไทย ?
พรีม : เกิดที่เมืองไทย ย้ายไปอยู่ที่อิตาลีค่ะ ประมาณ 1 ขวบก็ย้ายไปอยู่กรุงโรมทั้งครอบครัวมีพี่ชาย คุณพ่อคุณแม่ อยู่ถึง 12 ปี
ทำไมถึงย้ายกลับมาเมืองไทย ?
พรีม : เป็นความต้องการของคุณพ่อแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วว่าอยากย้ายกลับมา ที่นี่ก็มีญาติฝั่งคุณแม่เยอะ ที่นี่ตอนนั้นคุณพ่อก็ซื้อบ้านไว้ด้วยเหมือนเป็นความคิดของคุณพ่ออยู่แล้วว่ายังไงก็อยากจะย้ายกลับมา
กลับมาไทยต้องมาเรียนโรงเรียนไทย แต่ภาษาไทยไม่ได้ ต้องเรียน 2 ภาษา รับมั้ย ?
พรีม : ไม่รับค่ะ ปกติต้องเรียนอินเตอร์ใช่มั้ยคะ พรีมชินกับการเรียนที่เมืองนอกที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร พอย้ายกลับมาโรงเรียนอินเตอร์ยอมรับว่าราคาค่อนข้างแรง เราก็รู้สึกว่าไม่เอาไม่เป็นไร พอ 2 ภาษาโรงเรียนในไทยห้องนึงจะมีนักเรียนประมาณ 30 กว่าคน โรงเรียนไม่เชิงปฎิเสธแต่เขาก็มองว่ากลัวว่าน้องจะเรียนตามไม่ทันเพราะภาษาไทยเราไม่แข็งแรงตามเพื่อนๆ ไม่ทันแล้วเดี๋ยวจะกลายเป็นผลเสียมากกว่า เขาเลยแนะนำให้หาโรงเรียนที่เล็กกว่านี้ก่อน ไว้พร้อมเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันอีกที
แปลว่าต้องไปนั่งเรียนภาษาไทยก่อน แล้วไปเรียนภาษาไทยที่ไหน ?
พรีม : ต้องไปหาติวเตอร์แถวบ้าน เรียนตัวต่อตัวเป็นเวลาติดกันเดือนสองเดือนเลยแบบทุกวันเลย พอเราเข้าโรงเรียนสองภาษาไม่ได้เราต้องไปหาโรงเรียนที่เล็กๆ หน่อยที่เหมือนเขาจะพอดูแลเราได้ ห้องนึงมีแค่ 6-8 คน
ตอนอายุ 14 เกิดเรื่องครั้งใหญ่ในชีวิตเราเลยก็คือคุณพ่อคุณแม่แยกทางกันเกิดอะไรขึ้น ?
พรีม : ครอบครัวพรีมเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างเปิด เราก็จะรับรู้ซึ่งกันและกันตลอดถ้าใครเป็นยังไงเราก็จะรู้กันอยู่ตลอด เราก็เห็นมาซักพักแล้วว่าการสื่อสารไม่เหมือนเดิม เหมือนคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เป็นคู่ชีวิตแบบเดิม แต่ว่ามันไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่ช็อคอะไรขนาดนั้น เหมือนฟีลความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ค่อยๆ ลดความสัมพันธ์ลง
เข้าใจเหมือนคนโตเลยเพราะว่าตอนนั้นเพิ่ง 14 เองก็คือเข้าใจสภานการณ์แบบที่เล่ามาแบบนั้นเลย ?
พรีม : อย่างที่บอกว่าครอบครัวเราอยู่ด้วยกันตลอด เป็นครอบครัวที่ไม่ปิดบังกัน เราก็เลยเหมือนจะเข้าใจธรรมชาติไปเอง เหมือนเราเห็นแวว
พอถึงวันนั้นจริงๆ เราเข้าใจคุณพ่อคุณแม่มั้ย ?
พรีม : ก็เข้าใจค่ะ 1 ในเหตุผลอีกอย่างนึงคือคุณพ่อย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าโอกาสงานที่เขาจะได้รับที่อิตาลีอาจจะดีกว่ามันก็เลยเป็น 1 ในเหตุผลที่เขาต้องตัดสินใจย้ายกลับไปแล้วก็แยกทางกันด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องของความสัมพันธ์ด้วยเป็นเรื่องของปัจจัยหลายๆ อย่างก็คือเรื่องงานด้วย เรื่องโอกาสต่างๆ ด้วย พอเอามารวมๆ กันแล้วก็เลยทำให้เราเข้าใจแล้วก็รับได้
เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต ในวัย 14 ต้องขึ้นมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานหาเลี้ยงครอบครัวไปด้วย ตอนนั้นเริ่มทำงานอะไร ?
พรีม : คุณพ่อย้ายกลับไปตอนที่พรีมเริ่มเข้าวงการแล้วเหมือนเป็นช่วงคาบเกี่ยวกัน แต่งานแรกในชีวิตพรีมก็คือเล่น MV ค่ะ เพลงเหวี่ยงก็รักของ พี่กัน นภัทร
จุดเริ่มต้นการเข้าวงการบันเทิงเข้ามาได้ยังไง มีใครไปเจอ ?
พรีม : ตอนนั้นเพิ่งย้ายมาได้ปีนิดๆ ตัวเราก็ยังนับว่าเป็นนักท่องเที่ยวอยู่ในกรุงเทพฯ เราก็เดินเล่นที่เยาวราชแล้วก็เจอเอเจนซี่เข้ามาชวนเราว่าอยากลองแคสติ้งงานมั้ย เราก็ปฎิเสธ หลังจากนั้นก็โดนชวนอีกเราก็ปฎิเสธอีก จนกระทั่งไปเดินซูเปอร์มาเก็ตแถวบ้านแล้วก็โดนชวนอีก รอบนี้ก็เลยรู้สึกว่าคงเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างเราคงต้องลองแล้วหละ วันนั้นก็คือสภาพไม่ได้คิดเลยว่าเขาจะชวนเราเพราะว่าเพิ่งเล่นน้ำสงกรานต์มาเสร็จใหม่ๆเลย คือผมเปียก
ผลงานชิ้นแรกมิวสิควีดีโอแล้วมาละครได้ยังไง ?
พรีม : ช่วงนั้นพยายามที่จะหาทางเข้าช่องแล้วก็แคสต่างๆ ลองดูว่าเราจะเล่นละครได้มั้ย ตอนแรกที่เจอคนเข้ามาแล้วเราปฎิเสธไปเป็นเพราะว่าไม่คิดเลยว่าตัวเองจะทำงานสายนี้ได้
เพราะว่า ?
พรีม : คือต้องบอกก่อนตอนที่อยู่ที่อิตาลี พรีมก็โตที่อิตาลี เหมือนค่านิยมที่โน่นจะค่อยข้างแตกต่างจากที่นี่ ที่โน่นคนจะมองวงการบันเทิงเหมือนเป็นที่ที่ไกลตัวมากๆ เหมือนเป็นที่ที่แบบคนทั่วๆ ไปน่าจะเอื้อมไปไม่ถึงประมาณนั้น เราก็เลยถูกปลูกฝังมาว่าวงการบันเทิงเป็นที่ที่แบบไม่ใช่ที่ที่เราจะไปทำงานได้หรอก
พอเล่นละครก็จะมีคนบูลลี่เรื่องรูปร่าง โดนอะไรบ้าง ?
พรีม : ส่วนใหญ่โดนในเรื่องของโครงสร้างตัวเรา เราตัวใหญ่ ตอนนั้นอาจจะเด็กด้วยมีเบบี้แฟตเลยทำให้ดูหน้าใหญ่ แต่เหมือนจะเป็นบิวตี้แสตนดาร์ดในช่วงนั้นด้วยมันก็คือ 10 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นโซเชียลมีเดียต่างๆ มันก็ยังเข้าไม่ถึงเมืองไทยก็ยังไม่ได้เปิดกว้างเท่ากับสมัยนี้ทุกคนจะนิยมต้องเป็นสาวตัวเล็ก ขาว เท่านั้น
พอเจอกระแสบูลลี่เรื่องรูปร่างเราก้าวผ่านยังไง ?
พรีม : เราก็ตัดสินใจที่จะเข้ามาทำงานตรงนี้ด้วยเราก็เลยรู้สึกว่ามันก็เป็นส่วนของงาน เป็นส่วนหนึ่งของฟีดแบ็คที่ต้องโดนบ้างแหละ เราก็ทำใจมาแล้วประมาณนึง เราก็ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ไม่รู้แหละว่าคนจะมองยังไง แต่ขอให้คนมองเห็นว่าเราตั้งใจจริงๆ
เป็นหัวหน้าครอบครัวดูแลพี่ชายด้วย พี่ชายเป็นดาวน์ซินโดรม ดูแลคุณแม่ด้วย ทำงานด้วย เรียนหนังสือด้วย ตอนนั้นหนักมั้ยสำหรับเรา ?
พรีม : ก็รู้สึกหนักแหละ แต่เว่าเป็นความหนักที่เหมือนไม่ได้มีเวลา อาจจะเพราะความยุ่งด้วยมั้งเลยไม่ได้มีเวลาจมอยู่กับมัน เราก็มัวแต่หาวิธีการว่าเราจะทำยังไงต่อ ไม่มีเวลาเรียนใช่มั้ย ฉันสอบเทียบเลย ฉันไม่เรียนเลย ตอนนั้นอยู่ ม.4 เรียนไม่ทันไม่เป็นไรฉันสอบเทียบแล้วฉันเข้ามหาวิทยาลัยเลย เหมือนเราก็หาวิธีที่จะทำให้เรารับมือกับทุกอย่างให้ได้
ดูแลพี่ชายมาตลอด เอาลงโซเชียลตลอด ตอนนี้เขาทำอะไร ?
พรีม : พรีมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดูแลทุกคนในครอบตรัวเพียงคนเดียว พรีมรู้สึกว่าครอบครัวที่บ้านจะแบ่งหน้าที่โดยชัดเจน คุณแม่ก็จะทำหน้าที่ซัพพอร์ตเรื่องบ้านจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้พรีม พรีมไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย พรีมมีหน้าที่ออกมาทำงานข้างนอก พี่ชายเป็นพ่อบ้านชั้นดีที่ซัพพอร์ตคุณแม่และซัพพอร์ตพรีมได้ดีมากๆ
มีวิธีการดูแลพี่ยังไงบ้าง ?
พรีม : ที่บ้านจะวางพื้นฐานมาตั้งแต่เด็กเลย ฝึกเรื่องของสมาธิ ก็คล้ายๆ กับเด็กปกติแต่แค่ต้องฝึกเข้มข้นขึ้น ทำให้พอจอห์นนี่โตมาถึงวัยนี้ดูแลง่ายมากสำหรับพรีมนะ เพราะเรารู้สึกว่าเหมือนเราวางพื้นฐานไว้ดีแล้ว เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นแค่เรื่องของการเราหากิจกรรมเล่นกัน สนุกกัน กิจกรรมที่ทำก็คือร้องเพลง เขาจะมีตารางที่เป๊ะมากคือเขาจะร้องเพลงทุ่มนึงถึงสามทุ่มสี่สิบห้าทุกวัน เสร็จปุ๊ปก็จะปิดทุกอย่างแล้วก็ขึ้นนอน เขาจะเป๊ะมาก ส่วนพรีมถ้าวันไหนว่างก็จะพยายามพาเขาไปเที่ยว พาเขาไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ไปเจออะไรใหม่ๆ
อยากรู้ว่าหัวใจยังว่างมั้ย ?
พรีม : ก็เป็นเพื่อนคุยกันเรื่อยๆ จริงๆ รู้จักกันมานานแล้ว แต่ว่าด้วยความที่ต่างคนต่างก็โฟกัสเรื่องงานกันมากๆ เลยไม่ได้รีบร้อนอะไรชิลๆ มากกว่า เหมือนคุยเป็นเพื่อนเป็นที่ปรึกษาให้กันและกัน ไม่ได้เป็นคนในวงการบันเทิง รู้จักกันตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยเป็นกลุ่มๆ เพื่อน
มุมมองความรักเปลี่ยนไปมั้ยตั้งแต่ตอนเด็กๆ กับตอนนี้ ?
พรีม : เปลี่ยนค่ะ ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะเปลี่ยน ตอนเด็กๆเราก็จะมีสเปกชัดเจนว่าอยากได้แบบนั้นแบบนี้ต้องดูแลเรา สูง หล่อ ตลก ต้องใจดี พอโตขึ้นมารู้สึกว่าจริงๆเราแค่มีคนที่เติมให้กันและกัน แล้วก็ผลักดันให้ต่างคนต่างเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในของตัวเอง เคารพซึ่งกันและกัน
ติดตามชมรายการคุยแซ่บ Show ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama