เนื้อหาในหมวด ข่าว

สรุปเอกสารลับ \

สรุปเอกสารลับ "คดีลอบสังหาร JFK" 31,000 หน้า มีอะไรใหม่บ้าง?

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งให้เปิดเผยเอกสารลับที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 ที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส

รายละเอียดของเอกสารที่เปิดเผย

เอกสารที่ถูกเปิดเผยประกอบด้วยไฟล์ดิจิทัลกว่า 11,000 ไฟล์ รวมมากกว่า 31,000 หน้า เนื้อหาในเอกสารเหล่านี้สะท้อนถึงบรรยากาศความตึงเครียดในช่วงสงครามเย็น และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาในปี 1962

gettyimages-76312243

การติดตาม ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์

เอกสารใหม่เปิดเผยว่า CIA ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของ ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ อย่างใกล้ชิดในช่วงหลายเดือนก่อนเหตุการณ์ลอบสังหาร โดยเฉพาะช่วงที่เขาเดินทางไปกรุงเม็กซิโก ซิตี้ ในเดือนกันยายน 1963 ในระหว่างนั้น ออสวอลด์ ได้พบกับเจ้าหน้าที่สถานทูตรัสเซียและคิวบา ซึ่งทำให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับแรงจูงใจและความสัมพันธ์ของเขา​

ปฏิกิริยาของครอบครัวเคนเนดี

การเปิดเผยเอกสารครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าแก่สมาชิกครอบครัวเคนเนดี แจ็ค ชลอสส์เบิร์ก หลานชายของประธานาธิบดีเคนเนดี ได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) ว่า "รัฐบาลทรัมป์ไม่ได้แจ้งให้สมาชิกครอบครัวเคนเนดีคนใดทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับการเปิดเผยเอกสารครั้งนี้"

gettyimages-808368

ความเห็นของนักประวัติศาสตร์

ศาสตราจารย์เฟรดริก โลเกวาลล์ นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ความเห็นว่า การได้เห็นเอกสารทั้งหมดโดยไม่มีการปิดบังหรือขีดฆ่าข้อความใดๆนับเป็นสิ่งที่มีคุณค่า แต่เขาไม่คิดว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลที่จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้อย่างถอนรากถอนโคน

ความเชื่อของประชาชน

แม้ว่าทางการสหรัฐฯ จะสรุปว่า การลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดีเป็นการกระทำของมือปืนเพียงคนเดียว คือ ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ แต่โพลหลายสำนักชี้ว่า ชาวอเมริกันจำนวนมากยังคงเชื่อว่าการเสียชีวิตของเขาเป็นผลจากการสมคบคิดวางแผนลอบสังหาร ​

ruby_shoots_oswaldการเปิดเผยเอกสารลับครั้งนี้เป็นความพยายามในการสร้างความโปร่งใสและตอบสนองต่อความสงสัยของสาธารณชนเกี่ยวกับเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี แม้ว่าเอกสารเหล่านี้อาจไม่เปลี่ยนแปลงความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์ แต่ก็ช่วยเติมเต็มรายละเอียดและบริบทของช่วงเวลานั้นได้มากขึ้น