.jpg)
รวมวิจัยมหาลัยดัง พ่อแม่ที่ทำงาน 3 อาชีพนี้ มีโอกาสเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ "มากกว่า"
รวมงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยระดับโลก เผยพ่อแม่ที่ทำงาน 3 กลุ่มอาชีพนี้ มีโอกาสเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ "มากกว่า"
ในทุคยุคสมัยปรากฏการณ์หนึ่งที่ยังคงสังเกตเห็นอยู่เสมอ นั่นคือ อาชีพของพ่อแม่มีแนวโน้มที่จะถูก “สืบทอด” มาจากรุ่นต่อรุ่น พูดอย่างง่ายๆ ก็คือ หากพ่อแม่ทำงานในสาวอาชีพใดอาชีพหนึ่ง ลูกของพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพที่คล้ายกันเมื่อเติบโตขึ้น นั่นเป็นเหตุว่าทำไมจึงได้ยินวลีเช่น “ครอบครัวนักดนตรี” “ครอบครัวสถาปนิก” หรือ “ตระกูลหมอ” บ่อยๆ
ในสายตาของหลายๆ คน เรื่องนี้ดูเป็นสิ่งลึกลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วแก่นแท้ของเรื่องนี้ก็คือ พ่อแม่จะนำทักษะหรือลักษณะเฉพาะทางวิชาชีพของตน มาแปลงเป็นทรัพยากรทางการศึกษาในครอบครัว ทำให้ลูกๆ ได้สัมผัสและเริ่มคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย
จากการศึกษาวิจัย 30 ปีของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน พบว่า ประเภทอาชีพของผู้ปกครองส่งผลโดยตรงต่อรายได้ ความสำเร็จในอาชีพ และความสามารถในการปรับตัวทางสังคมของบุตรหลานเมื่อเป็นผู้ใหญ่ คำถามต่อมาที่หลายคนอยากรู้ก็คือ พ่อแม่สามารถเลือกอาชีพใดได้บ้าง ที่จะช่วย “ปูทาง” ให้ลูกๆ สู่อนาคตที่ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย?
แพทย์/นักวิจัย – ฝึกทักษะการคิดเชิงตรรกะและความอดทน
ไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือนักวิจัย ทุกคนจะเห็นว่าอาชีพเหล่านี้มีลักษณะเด่นที่ใช้ข้อมูลในการอธิบาย และใช้การคิดเชิงระบบในการวิเคราะห์ปัญหา นอกจากนี้ มักต้องการความละเอียดรอบคอบ ต้องเผชิญกับความกดดันและความล้มเหลวบ่อยๆ ซึ่งลักษณะเหล่านี้จะค่อยๆ ถูกส่งผ่านมายังลูกๆ ผ่านการอบรมในครอบครัว
โดยผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ลูกของแพทย์หรือนักวิจัยมักมีผลการเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์, คณิตศาสตร์ สูงกว่าลูกของผู้ปกครองในอาชีพอื่นๆ ถึง 31% ซึ่งไม่ใช่เพราะพันธุกรรม แต่เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการเข้าหาปัญหาด้วยการคิดแบบหลักการและเหตุผลตั้งแต่เด็ก
นอกจากนี้ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ พบว่า ลูกของแพทย์หรือนักวิจัยมักมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (ที่เกี่ยวข้องกับความเครียด) ต่ำกว่าลูกของคนทั่วไปถึง 41% ในสถานการณ์ที่มีความตึงเครียด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถปรับตัวกับความเครียดได้ดีกว่า
ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ลูกๆ จะไม่เพียงแต่ฝึกทักษะการคิดเชิงตรรกะ แต่ยังสามารถพัฒนาความอดทนที่สูงกว่า นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็กมีความได้เปรียบในการเรียนและทำงานในอนาคต แต่ก็ต้องระวังว่าการทำงานที่ใช้เวลามากอาจทำให้เด็กขาดการเอาใจใส่ หรือเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เครียดเกินไป ดังนั้น ผู้ปกครองควรกำหนดขอบเขตระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้ชัดเจน เพื่อสร้างผลกระทบที่ดีให้แก่เด็กและหลีกเลี่ยงผลเสียจากความเครียดในอาชีพ
ครู/นักการศึกษา – สร้างทักษะการคิดแบบพัฒนาให้เด็ก
ทุกคนรู้ว่าการศึกษาต้องมีการปรับปรุงตามยุคสมัย ซึ่งหมายความว่าครูต้องมีการคิดแบบ "พัฒนา" เพื่อปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดังนั้น ลูกของครูมักจะได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะการคิดตั้งแต่เด็ก การคิดแบบนี้จะช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ ครูไม่ได้แค่ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังต้องสร้างและจัดระเบียบความรู้ให้เป็นระบบ ดังนั้น ครูจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ได้ดีกว่าผู้ปกครองคนอื่นๆ การวิเคราะห์ข้อผิดพลาดในการตรวจงานหรือการสร้างระบบความรู้ในการเตรียมการสอน กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการศึกษาของเด็ก ที่สำคัญคือ สภาพแวดล้อมในบ้านของครูมักจะสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีให้กับเด็ก เช่น การเตรียมการสอน การอ่านหนังสือ และการเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้เด็กได้รับผลกระทบที่ดีจากสิ่งเหล่านี้
การศึกษาจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พบว่า ลูกของครูมีผลการทดสอบความสามารถด้านการเรียนรู้ สูงกว่าลูกของผู้ปกครองที่ไม่ได้ทำงานเป็นครูถึง 23% การสามารถควบคุมและปรับกระบวนการเรียนรู้ได้ดี เป็นสิ่งที่ช่วยเด็กในการรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองที่เป็นครูต้องระวังการนำวิธีการสอนมาปรับใช้กับการเลี้ยงดูเด็ก หากมีการควบคุมมากเกินไปหรือการตั้งระเบียบที่เคร่งครัดอาจสร้างความตึงเครียดในบ้านและส่งผลเสียต่อจิตใจของเด็ก
นักธุรกิจ/ผู้ประกอบการ – กระตุ้นความสามารถในการเป็นผู้นำของเด็ก
จากการสำรวจของโรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ด พบว่า 43% ของลูกของนักธุรกิจเคยมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางธุรกิจของครอบครัวตั้งแต่เด็ก แม้ว่าจะไม่ทั้งหมดที่รับช่วงงานธุรกิจจากพ่อแม่ แต่เด็กเหล่านี้มักแสดงความสามารถในการเป็นผู้นำและมีความสามารถทางธุรกิจตั้งแต่ยังเด็ก นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ผลกระทบจากอาชีพ" ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าลูกของนักธุรกิจมักได้รับโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ที่ดีกว่าลูกของครอบครัวอื่นๆ
นอกจากนี้ การที่พ่อแม่เป็นนักธุรกิจยังทำให้เด็กๆ มีโอกาสในการขยายมุมมองและพัฒนาความเข้าใจได้เร็วกว่าเด็กในครอบครัวอื่นๆ และด้วยข้อได้เปรียบด้านทรัพยากรทางการเงิน เด็กในครอบครัวนักธุรกิจสามารถลองผิดลองถูกได้โดยไม่ต้องแบกรับความกดดันมากนัก จากกระบวนการทดลอง – ปรับปรุง – เรียนรู้อย่างต่อเนื่องนี้ เด็กๆ มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น
จริงๆ แล้ว ผลกระทบจากอาชีพของพ่อแม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มอาชีพที่กล่าวถึงข้างต้น แม้แต่ในอาชีพทั่วไป เราก็สามารถใช้ความได้เปรียบจากการทำงานของเรามาช่วยให้ลูกเติบโตและพัฒนาไปในทางที่ดีได้ ตามที่ Peter Drucker ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการกล่าวไว้ "การศึกษาที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนวิธีการทำงานให้กลายเป็นปัญญาของชีวิต"
- ฮาร์วาร์ดเผย 3 นิสัย(ดูเหมือน)แย่ แต่พิสูจน์ได้ว่า "เด็กฉลาด" ผปค.ควรรู้ ไม่ขวางเฉิดฉาย!
- ศาสตราจารย์ชื่อดัง ชี้ส่งลูกเรียนพิเศษ 3 คลาสนี้ เปลืองเงินไร้ประโยชน์ พ่อแม่ต้องรู้ให้ทัน!