เนื้อหาในหมวด ข่าว

ลูกสาว 3 ขวบ เล่าครูให้กินยาประหลาด แม่ตกใจขอเช็กวงจรปิด ถึงกับอึ้งพูดไม่ออก

ลูกสาว 3 ขวบ เล่าครูให้กินยาประหลาด แม่ตกใจขอเช็กวงจรปิด ถึงกับอึ้งพูดไม่ออก

ลูกสาววัย 3 ขวบ บอก คุณครูให้กินยา แม่รีบไปดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่โรงเรียน ผลปรากฏว่าไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ชาวเน็ตจีนรายหนึ่ง ได้โพสต์เล่าเรื่องราวของ "เสี่ยวเหยียน" เพื่อนร่วมงาน ที่เพิ่งเจอสถานการณ์ที่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะลูกสาววัย 3 ขวบครึ่งชื่อ "เสี่ยวซือ" เด็กน้อยน่ารักสดใส เพิ่งเข้าเรียนอนุบาล แต่ทักษะการเล่าเรื่องนั้นไม่ธรรมดาเลย

ช่วงนี้อากาศแปรปรวน เสี่ยวซือเริ่มมีน้ำมูก เย็นวันหนึ่ง เสี่ยวเหยียนถือยามาให้ลูกกิน แต่เด็กน้อยกลับร้องลั่นว่า "หนูกินยาแล้ว! ตอนเที่ยงคุณครูเหาก็ให้กินยา! คุณครูบอกว่าหนูต้องกินยาที่โรงเรียน"

เสี่ยวเหยียนถึงกับชะงัก เพราะเธอไม่เคยฝากครูให้ลูกกินยาเลย เธอเริ่มกังวลว่า ครูอาจให้ยาโดยพลการ หรือแย่กว่านั้น ให้ยากล่อมประสาทเพื่อให้เด็กหลับ?

เธอพยายามตั้งสติ แล้วค่อย ๆ ซักถามลูกอีกครั้ง เสี่ยวซือยืนยันด้วยท่าทีจริงจังว่า "หนูกินข้าวเสร็จ แล้วคุณครูให้กินยา จากนั้นหนูก็นอนหลับเลย"

คืนนั้น เสี่ยวเหยียนรีบติดต่อคุณครู ซึ่งยืนกรานว่าไม่ได้ให้ยาเด็กเลย

วันรุ่งขึ้น เธอไม่วางใจ จึงไปโรงเรียนเพื่อดูภาพจากกล้องวงจรปิด และสิ่งที่เธอเห็นก็ทำให้ทั้งขำทั้งโล่งใจ

ภาพจากกล้องวงจรปิด เผยให้เห็นว่ามีเด็กหญิงอีกคนกำลังกินยากับน้ำเปล่าที่คุณครูเหาเตรียมให้ เพราะเด็กคนนั้นป่วย ขณะที่ เสี่ยวซือ ยืนอยู่ข้าง ๆ ถือแก้วน้ำของตัวเอง แล้วทำท่ากลืนน้ำเลียนแบบเพื่อนพร้อมหัวเราะคิกคัก

แท้จริงแล้ว เสี่ยวซือไม่ได้กินยาเลย เธอแค่รู้สึกอิจฉาที่เพื่อนได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากคุณครู จึงจินตนาการเหตุการณ์ขึ้นเอง จนกลายเป็น “ความทรงจำที่เหมือนจริง” ในใจเธอ

แม้เรื่องจะคลี่คลายด้วยเสียงหัวเราะ แต่ก็นำมาซึ่งคำถามที่น่าคิด: เราควรเชื่อคำพูดของเด็กแค่ไหน? คำโกหกเล็ก ๆ ที่ฟังดูไร้เหตุผลนั้น แท้จริงแล้วซ่อนอะไรเกี่ยวกับพัฒนาการไว้บ้าง?

การโกหกของเด็กไม่ใช่ปัญหาทางศีลธรรมเสมอไป แต่อาจเป็นสัญญาณของการพัฒนาสมอง

พ่อแม่หลายคน รวมถึงแม่ของเสี่ยวซือ มักเชื่อว่า “เด็กไม่รู้จักโกหก” แต่ผลการศึกษาทางจิตวิทยาพบสิ่งตรงกันข้าม ทีมของศาสตราจารย์คัง ลี่ จากมหาวิทยาลัยโตรอนโตพบว่า เด็กอายุ 2 ปี ราว 30% เริ่มโกหกเป็นแล้ว และตัวเลขนี้เพิ่มเป็น 90% เมื่ออายุ 4 ปี (เผยแพร่ในวารสาร Developmental Psychology)

อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่เด็กโกหก แตกต่างจากผู้ใหญ่:

ช่วงอายุ 3-6 ปี: จินตนาการและความจริงยังแยกกันไม่ชัด

นักจิตวิทยาชาวสวิส ฌ็อง เปียเจต์ อธิบายว่า เด็กวัย 2-7 ปีอยู่ในช่วง "ก่อนการปฏิบัติการ" สมองทำงานราวกับหนังเรื่องหนึ่ง — ขอบเขตระหว่างโลกจริงกับโลกในจินตนาการยังพร่าเลือน

ตัวอย่างเช่น เสี่ยวซือเห็นเพื่อนได้รับคำชมจากครูตอนกินยา สมองเธอจึงสร้าง “ฉากสมมุติ” ว่าตัวเองก็ได้รับความสนใจเช่นกัน ความสุขจากจินตนาการนั้นฝังลึกจนเธอเชื่อจริง ๆ ว่า “หนูกินยาแล้ว”

นี่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของพัฒนาการด้านความคิด เด็กเริ่มเข้าใจว่า “สิ่งที่เรารู้ คนอื่นอาจไม่รู้” และเริ่มใช้ภาษาเพื่อสร้างเหตุผลของตัวเอง — คล้ายกับบรรพบุรุษที่เล่าเรื่องรอบกองไฟ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของจินตนาการและทักษะทางสังคม

หลังอายุ 7 ปี: การโกหกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

เมื่อสมองส่วนหน้ามีพัฒนาการ เด็กจะเริ่มแยกแยะโลกจริงกับโลกจินตนาการได้ชัดเจน การโกหกในวัยนี้จึงมักมีจุดประสงค์ เช่น:

  • หลบเลี่ยงโทษ (เช่น โทษว่าแมวทำแจกันตก)
  • หาผลประโยชน์ (เช่น โกหกว่าทำข้อสอบได้คะแนนดีเพื่อหวังรางวัล)

หากไม่ได้รับการชี้แนะ เด็กอาจติดนิสัยโกหกจนกลายเป็นความเคยชิน

สาเหตุลึก ๆ ของการโกหก อาจมาจากพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว

สำหรับคำโกหกแบบจินตนาการ เช่นกรณีของเสี่ยวซือ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล แต่ถ้าเด็กโตแล้วยังโกหกบ่อย อาจต้องทบทวนวิธีเลี้ยงดู:

1. เด็กเรียนรู้การโกหกจากพ่อแม่

ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยลอนดอนพบว่า เด็กที่พ่อแม่โกหกบ่อย จะมีแนวโน้มโกหกมากขึ้น เพราะเด็กเรียนรู้พฤติกรรมจากคนใกล้ตัว

ตัวอย่าง: พ่อแม่ปฏิเสธนัดหมายโดยโกหกว่า “ยุ่งอยู่กับงาน” หรือให้ลูกพูดแทนว่า “พ่อไม่อยู่บ้าน” เพื่อเลี่ยงรับสาย — คำโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ล้วนถูกเด็กบันทึกไว้ในใจ

2. ปฏิกิริยาแข็งกร้าว ทำให้เด็กกลัวความจริง

เด็กทำแจกันแตก หากพ่อแม่ตอบสนองแตกต่างกัน ผลที่ตามมาก็แตกต่าง:

  • พ่อแม่แบบ A: “ทำไมซุ่มซ่ามอย่างนี้? เย็นนี้ห้ามดูการ์ตูน!”
  • พ่อแม่แบบ B: “แจกันแตกอันตรายนะ! คราวหน้าถือยังไงให้แน่นดีล่ะ?”

งานวิจัยจากฮาร์วาร์ดพบว่า เด็กกลุ่ม A มีแนวโน้มโกหกมากกว่ากลุ่ม B ถึง 4 เท่า เพราะสัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เลือกโกหกเพื่อเลี่ยงการลงโทษ

3. เด็กไม่ได้รับการรับฟัง จนต้องใช้คำโกหกเป็นทางออก

วัยรุ่นมักถูกมองว่า “ดื้อ” เมื่อโกหก ทั้งที่จริงแล้ว นั่นอาจเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือจากภาวะกดดัน เช่น เหงา ขาดความมั่นใจ หรือรู้สึกไม่มีทางออก

เช่น การโกหกว่า “โทรศัพท์แบตหมด” เพื่อกลับบ้านช้า อาจเป็นเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับบรรยากาศตึงเครียดในครอบครัว

วิธีรับมือเมื่อเด็กโกหก

การดุด่าหรือเทศนาไม่ช่วยอะไร ลองเป็นทั้ง “นักสืบ” และ “คนทำสวน” แทน:

ขั้นที่ 1: จำแนกประเภทของคำโกหก

  • แบบจินตนาการ (3-6 ปี): ไม่ต้องลงโทษ แค่พูดอธิบายเบา ๆ
  • แบบตั้งใจ (7 ปีขึ้นไป): ต้องหาสาเหตุที่แท้จริงเบื้องหลัง

ขั้นที่ 2: ใช้ “หลักการคนสวน”

แทนที่จะขู่ว่า “บอกความจริงสิ แม่จะได้ไม่ดุ” ให้พูดว่า
“ขอบคุณที่บอกแม่ เรามาช่วยกันหาทางแก้กันเถอะนะ”

ตัวอย่างเมื่อเด็กทำแจกันแตก:

  • แสดงความเข้าใจ: “หนูเกือบโดนบาดใช่ไหม? แม่ก็ตกใจเหมือนกันนะ”
  • วิเคราะห์ร่วมกัน: “หนูคิดว่าแจกันตกเพราะอะไรเหรอ?”
  • เสนอทางออก: “เราซื้อแผ่นรองกันลื่นดีไหม? หนูช่วยเลือกสีนะ”

วิธีนี้จะช่วยให้เด็กเรียนรู้จากความผิดพลาด มากกว่าจดจำด้วยความกลัว

คำโกหกของเด็กไม่ใช่ภัยพิบัติ แต่เป็นสัญญาณที่รอการเข้าใจ

หากพ่อแม่หยุด “จับผิด” แล้วเปิดใจฟังด้วยความอบอุ่น จะพบว่าเบื้องหลังคำโกหกเล็ก ๆ เหล่านั้น คือหัวใจดวงน้อยที่อยากได้รับการเข้าใจและยอมรับ

ขอให้พ่อแม่ทุกคนเปิดใจรับ "เวอร์ชันยังไม่สมบูรณ์" ของลูก และร่วมกันค้นหาต้นตอของปัญหา แทนที่จะรีบด่วนตัดสิน