.jpg)
500 มหาเศรษฐีโลก มีแค่ 1 คน ไม่ขาดทุน แถมได้กำไรจาก "ภาษีทรัมป์" ไม่ใช่อีลอน มัสก์
ในบรรดามหาเศรษฐี 500 อันดับแรกของโลก มีเพียง 1 คน ที่ไม่ขาดทุนจากผลกระทบ "ภาษีทรัมป์" แถมยังได้กำไร
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78 ปี ได้ประกาศใช้มาตรการภาษีที่รอคอยมานานในชื่อ “วันปลดแอก” โดยอ้างว่าจะช่วยให้ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันกลับมาได้เปรียบ หลังจาก “ถูกเอาเปรียบมานานกว่า 50 ปี”
ทรัมป์ยืนยันว่า ประเทศจะกลับมามี “เอกราชทางเศรษฐกิจ” อีกครั้ง แม้ว่าจะถึงขั้นเก็บภาษีกับเกาะร้างที่มีเพนกวินอาศัยอยู่ก็ตาม
ผลที่ตามมาคือการเริ่มต้นสงครามการค้าอย่างเป็นทางการ หลายประเทศเริ่มพิจารณาเก็บภาษีกลับสหรัฐฯ แล้วเช่นกัน
ทุกประเทศในรายชื่อถูกเก็บภาษีนำเข้าอย่างน้อย 10% อย่างไรก็ตาม ภาษีนำเข้าคือภาษีที่ผู้นำเข้าสินค้าต้องจ่ายให้รัฐบาล เมื่อมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าคนอเมริกันต้องการซื้อของจากยุโรป ก็ต้องจ่ายเพิ่มให้รัฐบาลประมาณ 20% ของราคาสินค้าในกรณีนี้
ผลที่ตามมา คือราคาสินค้านำเข้าอาจสูงขึ้น เนื่องจากผู้ส่งออกจำเป็นต้องบวกต้นทุนที่เพิ่มเข้ามา
เป้าหมายหลักของทรัมป์คือการดึงงานและโรงงานกลับคืนสู่สหรัฐฯ ด้วยการส่งเสริมการใช้สินค้าภายในประเทศ
แม้หลายคนอาจคิดว่าคนธรรมดาจะเป็นฝ่ายรับผลกระทบหลัก แต่ความจริงแล้วมหาเศรษฐีและผู้มีอิทธิพลระดับโลกบางรายก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน
สาเหตุของเรื่องนี้มาจากความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่วอลล์สตรีทยังคงแกว่งตัวขึ้นลงอยู่ในแดนลบ สงครามการค้าระดับโลกที่ทรัมป์เป็นผู้จุดชนวน ยังคงสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ทรัมป์เปรียบการเก็บภาษีนำเข้าครั้งนี้ว่าเป็นเหมือน “ยารักษาโรค” ขณะที่ดัชนี S&P ของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทร่วงลงถึง 4.1% เมื่อตลาดเปิดเช้าวันที่ 7 เมษายน ตามรายงานของ The Guardian
ภาพกราฟิกใหม่จาก NextA TV ยังเผยให้เห็นว่า มหาเศรษฐี 499 คนจาก 500 อันดับแรกของโลก ต่างสูญเสียมูลค่าทรัพย์สินสุทธิจากสถานการณ์นี้ ยกเว้นเพียงคนเดียว คือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์"
สาเหตุที่วอร์เรน บัฟเฟตต์รอดจากวิกฤตครั้งนี้ เป็นเพราะเขาได้ทยอยขายหุ้นในบริษัทอเมริกันตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ทำให้มหาเศรษฐีวัย 94 ปีรายนี้กลับทำกำไรได้
กราฟิกยังเผยอีกว่า ขณะที่มหาเศรษฐีอย่าง "อีลอน มัสก์" สูญเงินไปถึง 130,000 ล้านดอลลาร์ บัฟเฟตต์กลับทำกำไรได้ถึง 12,700 ล้านดอลลาร์
ในปี 2024 บัฟเฟตต์ขายหุ้นมูลค่ารวมกว่า 134,000 ล้านดอลลาร์ และปัจจุบันมีเงินสดในมือราว 334,000 ล้านดอลลาร์
นักการกุศลผู้นี้ยังไม่มีท่าทีจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ในเร็ว ๆ นี้ โดยนักวิเคราะห์ให้สัมภาษณ์กับ Fortune ว่า บัฟเฟตต์น่าจะคาดการณ์สถานการณ์เช่นนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว
อาร์มันโด กอนซาเลซ ผู้ก่อตั้ง Bigdata.com อธิบายว่า “การเคลื่อนไหวของบัฟเฟตต์ตลอดปีที่ผ่านมา ถือเป็นตัวอย่างชั้นดีของการเตรียมรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ”
คำพูดล่าสุดของบัฟเฟตต์ ซึ่งแสดงความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าของทรัมป์ก่อนที่มาตรการจะถูกประกาศ ยิ่งตอกย้ำว่าเขาเตรียมตัวมาอย่างดี
ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวเสริมว่า “ตามประวัติที่ผ่านมา เมื่อใดที่บัฟเฟตต์เริ่มขายหุ้นสุทธิ มักเป็นสัญญาณว่าเขาคาดว่าจะเกิดช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นไม่สดใสนัก” พร้อมทิ้งท้ายว่า “และอีกครั้งที่เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา มองเกมขาดก่อนใคร”
กอนซาเลซยังเน้นว่า “เขาไม่สนใจที่จะจับจังหวะต่ำสุดของตลาด และไม่ไล่เก็บผลตอบแทนระยะสั้น”
“ในทางกลับกัน เขารอจังหวะที่ความกลัวครอบงำตลาด จนราคาหุ้นตกลงมาจนคุ้มค่าต่อความเสี่ยงอย่างชัดเจน”