.jpg)
เศรษฐีแย่งซื้อ "โครงกระดูกทีเร็กซ์" นักวิทย์เตือน ฟอสซิลหลุดวงวิจัย-ความรู้สูญหาย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โครงกระดูกไดโนเสาร์ โดยเฉพาะ Tyrannosaurus rex หรือ T. rex (ทีเร็กซ์) ได้กลายเป็นของสะสมยอดนิยมในหมู่มหาเศรษฐีทั่วโลก ส่งผลให้เกิดความกังวลในวงการบรรพชีวินวิทยา เนื่องจากฟอสซิลที่มีคุณค่าทางวิทยาศาสตร์กำลังถูกเก็บไว้ในคอลเลกชันส่วนตัว แทนที่จะอยู่ในพิพิธภัณฑ์หรือสถาบันวิจัย
สำนักข่าวต่างประเทศระบุว่าจากโครงกระดูก T. rex ที่มีประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด 141 ชิ้น มีถึง 71 ชิ้นที่อยู่ในครอบครองของเอกชน ซึ่งหมายความว่านักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถเข้าถึงฟอสซิลเหล่านี้เพื่อการศึกษาได้
กระแสการประมูลโครงกระดูกไดโนเสาร์เริ่มต้นขึ้นในปี 1997 เมื่อ "ซู" (Sue) โครงกระดูก T. rex ที่สมบูรณ์ที่สุด ถูกขายในราคาสูงถึง 8.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาในปี 2020 "สแตน" (Stan) โครงกระดูก T. rex อีกชิ้นหนึ่ง ถูกประมูลในราคา 31.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ที่อาบูดาบี
นักบรรพชีวินวิทยาหลายคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มนี้ โดย Thomas Carr จาก Carthage College ในรัฐวิสคอนซิน กล่าวว่า "เมื่อโครงกระดูกถูกซื้อโดยนักสะสมส่วนตัว มันก็ไม่ต่างอะไรกับการเผาหนังสือเล่มสุดท้ายทิ้ง"
Steve Brusatte จากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ เสริมว่า "ไดโนเสาร์กำลังกลายเป็นสินค้าในตลาดโลก เป็นของหรูหราที่มีเพียงคนรวยเท่านั้นที่เข้าถึงได้"
ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ T. rex เท่านั้น ฟอสซิลของไดโนเสาร์สายพันธุ์อื่น ๆ เช่น Gorgosaurus และ Stegosaurus ก็ถูกประมูลในราคาหลายล้านดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน
นักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้มีการควบคุมการซื้อขายฟอสซิลอย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ฟอสซิลที่มีคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ตกไปอยู่ในมือของเอกชน และเพื่อให้สามารถศึกษาและเข้าใจอดีตของโลกได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น