เนื้อหาในหมวด ข่าว

แม่ร้องไห้โฮ อ่านไดอารี่ลูก เจอประโยค \

แม่ร้องไห้โฮ อ่านไดอารี่ลูก เจอประโยค "ทำไมถึงเกลียดแม่ขนาดนี้" พร้อมระบุ 5 สาเหตุ

แม่อ่านไดอารี่ลูก ปล่อยโฮ เจอประโยค "ทำไมลูกเกลียดแม่ขนาดนี้" เห็น 5 เหตุผลที่ระบุยิ่งทำให้ใจสลาย

  • บทความโดยแม่บองบอง - บล็อกเกอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงดูเด็กจากประเทศจีน

ครอบครัวเป็นเหมือนแหล่งพลังงาน เมื่อพ่อแม่พกพาพลังงานลบและใช้วิธีการเลี้ยงดูที่ผิดพลาด พวกเขาจะทำลายความบริสุทธิ์ พลังชีวิต และอนาคตของลูกโดยไม่รู้ตัว

พ่อแม่ที่ล้มเหลวที่สุดคือลูกของพวกเขากลายเป็น "เครื่องจักรที่ไม่หยุดทำงาน"

ปีนี้ฉันอายุ 42 ปี มีลูกชายคนหนึ่งเรียนอยู่มัธยมต้น ในสายตาของคนอื่น ลูกชายฉันเป็นเด็กดี ขี้อาย เข้าใจคน และฉันเองก็ได้รับคำชมว่าเป็นแม่ที่อ่อนโยน ทุ่มเทให้กับลูก ชีวิตดูเหมือนจะเรียบร้อย จนกระทั่งวันหนึ่งในตอนกลางคืน

วันนั้นขณะที่ฉันกำลังทำความสะอาด ฉันบังเอิญเห็นไดอารี่ของลูกที่วางทิ้งไว้ในลิ้นชัก ฉันลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเปิดมันออก คำแรกที่ฉันเห็นคือ "บางครั้งลูกก็อยากให้แม่หายไปจากชีวิตซะที"

ฉันรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน

มือสั่น ใจหาย แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะอ่านต่อไป:

  • ลูกสอบไม่ติดท็อป 3 แม่พูดว่า "ไม่เป็นไร ไว้พยายามใหม่" แต่ลูกรู้สึกได้เลยว่าแม่กำลังตำหนิ ลูกได้ยินแม่คุยโม้ว่าสมัยก่อนเรียนเก่ง แต่เรียนเก่งแล้วไง สุดท้ายก็ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ เลย ลูกไม่เล่นเกม ไม่ไถมือถือ แต่แค่ละสายตาจากหนังสือแม่ก็หาว่าลูกขี้เกียจ อยู่ในบ้านนี้ ถึงจะหายใจยังต้องตามจังหวะแม่หรือไง? ทำไมลูกถึงเกลียดแม่ขนาดนี้?
  • ลูกเกลียดเรียนพิเศษเลข เกลียดไวโอลิน แต่แม่ก็บังคับให้เรียน เวลาทำโจทย์เลข ลูกแค่อยากวาดรูปเต่าไว้ตรงนั้น เวลาเล่นไวโอลินต่อหน้าแม่ ลูกอยากทุบทำลายมันแล้ววิ่งหนีออกจากบ้านไป
  • แม่ไม่ได้สอนลูกเหมือนคน แต่เหมือนฝึกสุนัข ลูกแค่ก้าวออกจากบ้าน แม่ก็เปิดโทรศัพท์ดักฟัง คอยควบคุมแม้กระทั่งคำพูดกับเพื่อน
  • แม่บอกว่าทำทุกอย่างเพื่อลูก แต่กลับให้ลูกออกจากทีมบาสฯ แค่เพราะความผิดเล็กน้อย ยังร้องไห้ตะโกนด่าว่าลูกอกตัญญู ไร้ความสามารถ แม่บังคับให้ลูกตัดขาดจากเพื่อน มีแต่การเรียน ทุกวันเหมือนหุ่นเชิดตัวหนึ่ง
  • แม่ ขอโทษนะ ขอร้องล่ะ แม่ไปได้ไหม? แม่ไปแล้ว ลูกถึงจะมีอิสระเสียที

ฉันอยากจะโทรไปด่าลูกทันที เล่าให้ฟังถึงความเหนื่อยยากที่เคยผ่านมาทั้งหมดเพื่อเขา แต่ไม่รู้ทำไม ตอนนั้นความรู้สึกของฉันเหมือนถูกแช่แข็ง เพราะในส่วนลึกของหัวใจ ฉันรู้ว่าลูกพูดถูก

ฉันตั้งความหวังสูง ทุกอย่างทำเพื่อเขา แต่จริง ๆ แล้วก็เพื่อปลอบใจตัวเอง ที่ไม่มีอะไรจะการันตีอนาคตของลูกได้ นอกจากการบังคับให้เขาเก่งขึ้น พยายามขึ้น สุดท้ายความหวังดีของพ่อแม่ก็กลายเป็นสิ่งที่ลูกเกลียดชัง

ฉันค่อย ๆ วางไดอารี่ไว้ที่เดิม แกล้งทำเหมือนไม่เคยเห็นอะไรคืนนั้นทั้งคืน ฉันนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตั้งใจจะ "ลดความรัก" ที่มีต่อลูกลง แต่พอเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของลูก ความอ่อนโยนก็ไหลย้อนกลับมา คนเป็นแม่ เจ็บแค่ไหนก็ลืมได้เสมอ เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของลูก ความโกรธทั้งหมดก็หายไป

หลังจากลูกไปโรงเรียน ฉันเริ่มนั่งคุยกับตัวเอง ลูกชายฉันกำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ สมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ พูดอะไรเกินเลยก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเข้าใจลูก ความโกรธในใจก็เบาบางลง แต่ฉันไม่ได้หยุดแค่นั้น ฉันหันกลับมาทบทวนตัวเอง และพบว่าฉันผิดอยู่ 3 เรื่องใหญ่ ๆ

  • เอามาตรฐาน "ความเก่ง" ของตัวเองไปกดดันลูก
    ฉันเคยล้มเหลว เลยบังคับให้ลูก "ต้องประสบความสำเร็จ" ตามความคาดหวังของตัวเอง ฉันไม่เคยโบยบินได้สูง แต่กลับยัดเยียดความฝันนั้นให้ลูก

  • สับสนระหว่าง "อำนาจ" กับ "การควบคุม"
    พ่อแม่ที่มีอำนาจที่แท้จริง คือคนที่มีหลักการและให้เกียรติลูก แต่ฉันกลับเป็นพ่อแม่ประเภทใช้อำนาจบังคับ ตะโกนใส่ ไม่แยแสความรู้สึกลูก เอาแต่เรียกร้องการเชื่อฟัง

  • ความรักที่ลูกไม่สามารถรับรู้ได้ ก็คือ ไม่มีความรัก
    ฉันพูดว่ารักลูก แต่สิ่งที่พูดบ่อยที่สุดกลับเป็น "ทำไมทำอะไรก็ห่วยไปหมด" สิ่งที่ฉันทำคือ ควบคุม บังคับ และก้าวก่าย ความรักที่แฝงอยู่ในเสียงตำหนิและความคาดหวังนั้น ในสายตาลูก มันคือความเย็นชาและความกดดัน

  • ครอบครัวคือสนามพลังงาน ทุกความคาดหวัง ความโกรธ ความบีบบังคับ ล้วนดึงพลังชีวิตของเด็กออกไปทีละนิด เด็กไม่ใช่เครื่องจักรที่จะวิ่งได้ตลอดเวลา เมื่อพวกเขาถูกดึงเอาความมีชีวิตชีวาไปจนหมด จิตใจก็ย่อมเหือดแห้งตามไปด้วย

    วัฏจักรที่ไม่รู้จบ

    พ่อแม่ที่กดดันลูกในวันนี้ ก็มักเคยเป็นเด็กที่ถูกกดดันในอดีตเช่นกัน

    ฉันเคยเป็นเด็กคนหนึ่ง ที่ถูกแม่ตบหน้าเพียงเพราะสอบตก พร้อมคำด่าทอว่า "ไร้ค่า เรียนแบบนี้น่าอายชะมัด" ถูกขังในห้องน้ำ ถูกด่าว่าโง่เง่า ไร้ประโยชน์ ฉันเคยพยายามเขียนบทกวี วาดรูป พยายามทุกทางเพื่อเอาใจแม่ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา มีเพียงความเย็นชา "ตั้งใจเรียนไป อย่าเอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ" ไม่นาน ฉันก็เริ่มเชื่อว่า "บนโลกนี้ มีแค่คนที่เป็นที่ 1 กับพวกไร้ค่าที่เหลืออยู่เท่านั้น"

    ฉันแบกความคิดนี้ติดตัวตลอด 20 ปี ผ่านการสอบตก การเรียนซ้ำ การลาออกจากงาน การล้มเหลวในการเริ่มต้นใหม่ รักใครก็ไม่กล้าเปิดใจ ใช้ชีวิตอย่างมีปมด้อย จนกระทั่งมีลูก ฉันเอาความเจ็บปวด ความหวาดกลัว ความไม่มั่นใจในอดีตทั้งหมด มาถมใส่บ่าเล็ก ๆ ของลูก แล้วบอกตัวเองว่านี่คือ "ความรัก" และ "ความหวังดี" แต่แท้จริงแล้ว มันคือการส่งต่อบาดแผล จากรุ่นหนึ่ง สู่รุ่นถัดไป

    แค่เปลี่ยนแปลง ก็ยังทัน

    ฉันใช้เวลา 2 ปีในการเยียวยาความสัมพันธ์กับลูก จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกเริ่มกล้าล้อเล่น กล้าปฏิเสธ กล้าโต้แย้ง และกล้าแบ่งปันทั้งความล้มเหลวและความภาคภูมิใจ จนกระทั่งฉันได้เห็นเด็กคนหนึ่งที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ "เวอร์ชันในฝัน" ของฉันอีกต่อไป ตอนนั้นเอง ฉันถึงได้ถอนหายใจโล่งอกจริง ๆ

    การเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นจาก 3 สิ่ง

  • จากคนที่นั่งเบาะหลัง กลายเป็นคนที่จับพวงมาลัยเอง

  • ไม่ใช่วิธีไหนก็เยียวยาได้ทุกเรื่อง แต่ต้องกล้าที่จะมองปัญหาตรง ๆ ยอมรับความผิดพลาด ยอมรับว่าตัวเองไม่สมบูรณ์แบบ กล้ายอมรับกับลูกว่า "แม่ผิดเอง" และซื่อตรงกับตัวเองว่า "แม่ก็เคยเจ็บปวดมาเหมือนกัน"

  • อารมณ์ คือการตอบสนองของร่างกายต่อความคิด

  • อารมณ์ลบส่วนใหญ่เกิดจากความกลัว กลัวลูกไม่เก่ง กลัวโดนคนอื่นดูถูก กลัวลูกลำบาก เมื่อฉันเข้าใจต้นตอของความกลัวเหล่านั้น ฉันจึงค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะพูดด้วยความสงบ แทนที่จะระเบิดอารมณ์ เมื่อฉันสงบลง ลูกก็ยอมฟัง เมื่อฉันตั้งใจฟัง ลูกก็กล้าเปิดใจ

  • ไม่มีการเยียวยาในอดีตหรืออนาคต มีเพียงปัจจุบันเท่านั้น

  • อดีตคือสิ่งที่สูญเสียไปแล้ว อนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง มีเพียง "ตอนนี้" เท่านั้น ที่เราสามารถเปลี่ยนเส้นทางชีวิตได้ เราคือลูกหลานของการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ และลูกของเราก็เช่นกัน ชีวิตมันเหนื่อยพออยู่แล้ว ขออย่าให้พ่อแม่และลูกต้องทำร้ายกันอีกเลย เริ่มตั้งแต่วันนี้ ปรับปรุงโชคชะตาของตัวเองและลูกให้ดีขึ้นเถอะ

    ถ้าแต่ละคนกล้ายอมรับผิดชอบกับชีวิตตัวเอง พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง และสวยงามในแบบของตัวเอง เมื่อพ่อแม่หยุดการบังคับ เมื่อความคาดหวังไม่กลายเป็นภาระของลูก เราถึงจะได้เริ่มต้นการเยียวยาอย่างแท้จริง

    อาลัย \

    อาลัย "ปันปัน" หรือ เจ๊แชมเปญ แห่งไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ เสียชีวิตแล้ว เพื่อนเผยแชตสุดท้าย

    ปันปัน หรือ เจ๊แชมเปญ แห่งไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ เสียชีวิตแล้ว เพื่อนเปิดแชตสุดท้าย เผยสาเหตุจากไปก่อนวัยอันควร

    \

    "แต้ว ณฐพร" เผยเคยเป็นโรคแพนิก ความรักแฮปปี้มีไดอารี่วันแรกที่เจอกัน

    แต้ว ณฐพร เผยเคยเป็นโรคแพนิกเพราะพยายามที่จะเพอร์เฟกต์ พร้อมทั้งแย้มเรื่องหัวใจที่ตอนนี้ลงตัวแฮปปี้มาก คลั่งรักถึงขนาดต้องจดไดอารี่ไว้

    ไอจี #ไดอารี่เมียดารา กระหึ่มโซเชียล ประเด็นร้อนชาวเน็ตสงสัยใครกัน?

    ไอจี #ไดอารี่เมียดารา กระหึ่มโซเชียล ประเด็นร้อนชาวเน็ตสงสัยใครกัน?

    ชาวเน็ตตามอ่านในไอจี #ไดอารี่เมียดารา ร่ายยาวความรักกับพระเอกหนุ่ม ประเด็นร้อนจนติดเทรนด์ทวิตเตอร์เลยทีเดียว

    พี่สาวสุดคิดถึงเปิดไดอารี่  \

    พี่สาวสุดคิดถึงเปิดไดอารี่ "น้ำตาล เดอะสตาร์" ถามน้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม?

    นึกได้ว่า ตาลชอบเขียนบันทึกไดอารี่ของเขาไว้ใน Macbook เลยลองเปิดดูในโน้ตที่เขาเก็บไว้ในเครื่อง ผึ้งชอบความหมายของบทนี้มากๆ