
ภาพถ่ายประวัติศาสตร์: เมื่อ "ชาย 4 คน" ผู้เปลี่ยนโลกมาอยู่ในเฟรมเดียวกัน
ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงเวลาที่ฟิสิกส์โลกเดินทางจากทฤษฎีสู่ยุคปฏิบัติอย่างเต็มรูปแบบ จากความเข้าใจอะตอม ไปสู่ระเบิดนิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ และกลศาสตร์ควอนตัมขั้นสูง
ในช่วงเวลานี้ มีนักฟิสิกส์เพียงไม่กี่คนที่มีบทบาทสำคัญเท่ากับ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein), ฮิเดกิ ยุคาวะ (Hideki Yukawa), จอห์น เอ. วีเลอร์ (John A. Wheeler) และ โฮมี เจ. บาบา (Homi J. Bhabha)โดยภาพถ่ายหายากภาพหนึ่งที่ปรากฏบุคคลเหล่านี้ในกรอบเดียวกัน เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1954 ในการประชุมวิชาการที่ Institute for Advanced Study เมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา
ภาพนี้กลายเป็นประวัติศาสตร์ในเชิงปรัชญา เพราะไม่เพียงเป็นหลักฐานทางสายตาของยุคทองแห่งฟิสิกส์ แต่ยังแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงของแนวคิดตะวันตกและตะวันออกผ่านความรู้ทางวิทยาศาสตร์
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
เจ้าของทฤษฎีสัมพัทธภาพ ผู้ปฏิวัติความเข้าใจของมนุษย์ต่อเวลา พื้นที่ และแรงโน้มถ่วง ภาพถ่ายของเขาที่ร่วมโต๊ะประชุมกับนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกมักสะท้อนภาพของ "ผู้นำทางความคิด" ที่มีทั้งความเคร่งขรึมและแววตาแห่งความอยากรู้อยากเห็น
ฮิเดกิ ยุคาวะ
นักฟิสิกส์ญี่ปุ่นคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล สร้างชื่อจากทฤษฎีเกี่ยวกับแรงนิวเคลียร์และการคาดการณ์การมีอยู่ของมีซอน (meson) ภาพที่เขายืนเคียงข้าง ไอน์สไตน์ หรือ วีเลอร์ นั้น สื่อถึงการเชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ของเอเชียกับกระแสหลักของฟิสิกส์โลกเป็นครั้งแรก
จอห์น เอ. วีเลอร์
นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันผู้วางรากฐานให้แนวคิดเรื่อง "หลุมดำ" และผู้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับทั้ง ไอน์สไตน์ และ นิลส์ โปร์ (Niels Bohr) ภาพถ่ายของเขาบ่อยครั้งปรากฏคู่กับนักฟิสิกส์รุ่นใหม่ ซึ่งสะท้อนความเป็น "ครู" และนักเชื่อมโยงแนวคิดอย่างแท้จริง
โฮมี เจ. บาบา
นักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวอินเดีย ผู้เป็นผู้บุกเบิกงานด้านฟิสิกส์อนุภาคและเป็นบิดาแห่งโครงการพลังงานนิวเคลียร์ของอินเดีย เขาปรากฏตัวในภาพถ่ายอย่างภูมิฐานเสมอ ทั้งในที่ประชุมและห้องทดลอง ซึ่งแสดงให้เห็นบทบาทของวิทยาศาสตร์ในประเทศกำลังพัฒนา
ภาพถ่ายร่วมกัน: มากกว่าการบันทึก
ภาพถ่ายที่บันทึกนักฟิสิกส์เหล่านี้อยู่ในกรอบเดียวกัน ไม่ได้เป็นแค่ภาพแห่งประวัติศาสตร์ แต่มันคือภาพของ "การพบกันของมุมมอง" จากฝั่งตะวันตกสู่ตะวันออก จากสัมพัทธภาพถึงกลศาสตร์ควอนตัม และจากความคิดเชิงทฤษฎีสู่เทคโนโลยีระดับโลก
หากมองให้ลึกกว่าความเงียบงันในภาพ เราอาจสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของความรู้ ความร่วมมือ และการเปลี่ยนแปลงโลกในทางที่ไม่อาจหวนกลับ