เนื้อหาในหมวด ข่าว

งานวิจัย เผย \

งานวิจัย เผย "รอยพับ" ที่ติ่งหู อาจเป็นสัญญาณเตือน บ่งบอกความเสี่ยงของโรคหัวใจ

มีงานวิจัยชี้ว่า "รอยพับ" ที่ติ่งหู อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาหัวใจที่อาจเกิดขึ้นตามมา ลองเดินไปหน้ากระจก แล้วสังเกตติ่งหูของตัวเองให้ดี ๆ

แม้หลายคนจะไม่ค่อยใส่ใจกับใบหูเวลาส่องตัวเองในกระจก แต่ดูเหมือนว่าเราควรเริ่มใส่ใจมากขึ้น เพราะจากงานวิจัยหลายฉบับพบว่า คนที่มีรอยพับชัดเจนบนติ่งหู อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหัวใจร้ายแรงในอนาคต

ดร.แซนเดอร์ส ที. แฟรงก์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอด คือคนที่สังเกตเห็นความเชื่อมโยนแปลก ๆ ระหว่าง 2 อวัยวะนี้

จากข้อมูลของ Stanford Medicine ดร.แฟรงก์ พบว่า คนไข้โรคเจ็บหน้าอกจากหัวใจ (angina) จำนวน 20 รายที่เขารักษา ล้วนมีรอยพับแนวเฉียงบนติ่งหูเหมือนกันหมด

รอยพับนี้ ซึ่งต่อมาถูกตั้งชื่อว่า “Frank’s sign” ตามชื่อของแพทย์ผู้ค้นพบ คือรอยพับที่พาดจากฐานติ่งหูด้านหน้า (ใกล้กับ tragus) ลากเฉียงลงไปยังขอบล่างของติ่งหูอีกด้านหนึ่ง

เชื่อกันว่ารอยพับนี้เกิดจากการสูญเสียเส้นใยยืดหยุ่นในผิวหนัง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ รอยพับนี้มักพบในคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจร้ายแรงในภายหลัง

แม้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีรอยพับบนติ่งหูจะต้องหัวใจวายแน่นอน แต่ความเชื่อมโยงนี้ก็ถือว่าน่าสนใจ จนผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้ศึกษากันอย่างจริงจัง

ตามรายงานของ Medical News Today หลอดเลือดแบบปลายตัน (end arteries) มีบทบาทสำคัญในการส่งเลือดไปเลี้ยงทั้งหัวใจและใบหู และเมื่อหลอดเลือดเหล่านี้ถูกตัดขาด จะไม่มีหลอดเลือดอื่นมาทดแทนได้

ดังนั้นหากการไหลเวียนเลือดหยุดลงอย่างกะทันหัน ก็อาจทำให้เนื้อเยื่อสำคัญได้รับความเสียหาย และบางครั้งอาการนี้อาจแสดงออกที่หูในรูปแบบของรอยพับ ซึ่งอาจบ่งบอกได้ว่า หัวใจกำลังประสบภาวะเดียวกัน

งานวิจัยในปี 2013 สนับสนุนสมมุติฐานนี้ โดยพบว่ารอยพับที่ติ่งหู มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจขาดเลือด และกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือที่เรารู้จักกันในชื่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (CAD) และหัวใจวาย

การศึกษาต่อมาในปี 2016 ระบุว่ารอยพับที่ติ่งหูอาจเป็นวิธีง่าย ๆ และใช้ได้จริงในการตรวจคัดกรองโรคหลอดเลือดหัวใจ แม้จะมีข้อสรุปว่า ทฤษฎี “Frank’s sign” ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติม

อีกหนึ่งการวิเคราะห์ในปี 2017 ก็สนับสนุนแนวคิดนี้เช่นกัน โดยพบว่ารอยพับดังกล่าวอาจสามารถทำนายภาวะโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือด (ischemic stroke) ได้

ในรายงานยังระบุว่า “ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบคลาสสิก มักมีรอยพับที่ติ่งหูบ่อยกว่า”

และในปี 2021 นักวิจัยพบว่า ผู้ที่มีรอยพับที่ติ่งหูร่วมกับโรคหลอดเลือดหัวใจ มักมีระดับฮอร์โมน adropin และ irisin ต่ำ ซึ่งอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งและตีบ เพิ่มความเสี่ยงต่อหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง รวมถึงอาจเป็นต้นเหตุของรอยพับที่ติ่งหูด้วยเช่นกัน

งานวิจัยอีกชิ้นในปีเดียวกันยังพบว่า คนที่มีรอยพับแนวเฉียงบนติ่งหู (DELC) มักมีระดับฮอร์โมน Klotho ต่ำ ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้มีบทบาทในการชะลอความชรา

ในปี 2024 มีงานวิจัยใหม่ที่ยังคงสนับสนุนทฤษฎีของ ดร.แฟรงก์ โดยพบว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (CAD) ที่มีรอยพับติ่งหู มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะ (atrial fibrillation) สูงกว่าผู้ป่วย CAD ที่ไม่มีรอยพับอย่างมีนัยสำคัญ

ยังพบอีกว่า รอยพับติ่งหูสามารถใช้ทำนายโอกาสเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจได้ และจากวารสาร Journal of Clinical Medicine ยังรายงานว่า รอยพับนี้อาจเป็นตัวทำนายความเสี่ยงของเหตุการณ์หัวใจร้ายแรงในผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว

ผู้วิจัยระบุว่า “ผลการศึกษาของเราชี้ว่า DELC อาจเป็นตัวบ่งชี้ภายนอกที่มีประโยชน์ในการคาดการณ์ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในผู้ป่วย CAD”

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ ศาสตราจารย์ทิม ชิโก แห่งมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด เขามองว่ารอยพับที่ติ่งหูไม่ใช่ “คำพิพากษา” ว่าจะต้องเกิดโรคเสมอ แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม

“โรคหลอดเลือดหัวใจไม่ใช่เรื่องของหัวใจอย่างเดียว แต่มันส่งผลต่อหลอดเลือดทั่วร่างกายและอวัยวะอื่น ๆ ด้วย” เขากล่าว

“มันเพิ่มความเสี่ยงของหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง รวมถึงโรคไต และแม้กระทั่งภาวะสมองเสื่อม”

“แม้เราจะเห็น DELC ในผู้ป่วย แต่คำแนะนำยังเหมือนเดิม นั่นคือ งดสูบบุหรี่ ควบคุมน้ำหนัก กินอาหารที่สมดุล และออกกำลังกายสม่ำเสมอ”

โดยสรุปแล้ว แม้ทฤษฎี “Frank’s sign” จะมีหลักฐานสนับสนุนจำนวนไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ถือเป็นข้อสรุปชัดเจน อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณมีรอยพับบนติ่งหู ก็ควรหันมาดูแลหัวใจของตัวเองให้มากขึ้นเป็นพิเศษ