เนื้อหาในหมวด ข่าว

มีกล้องยังโดนหลอก! ลูก ป.2 อวยแม่บ้าน \

มีกล้องยังโดนหลอก! ลูก ป.2 อวยแม่บ้าน "ทำอร่อยกว่าร้านอาหาร" แม่เห็นรูปเมนูไล่ออกทันที

ลูกชายชมว่า "อาหารที่แม่บ้านทำ" อร่อยกว่าร้านอาหาร แต่เมื่อแม่เห็นภาพถ่ายเมนูที่ว่า กลับพบความจริงที่ไม่คาดคิด แม่บ้านไม่ได้ทำอาหารเองเลยแม้แต่มื้อเดียว!

เรื่องเล่าจากหญิงชาวเวียดนามรายหนึ่ง ที่บอกว่าตนเองและสามีมีลูกชายคนเดียว กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 แต่เนื่องจากทั้งคู่ต้องทำงานที่โรงงานของครอบครัว จึงให้ลูกอยู่ที่บ้านกับแม่บ้านวัยประมาณ 50 ปี ในแต่ละสัปดาห์ เธอหรือสามีจะกลับบ้านเพียง 3-4 ครั้ง และคอยติดตามการใช้ชีวิตของลูกผ่านกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ทั่วบ้าน เธอมั่นใจว่าลูกได้รับการดูแลอย่างดี จึงไม่เคยเอะใจหรือสงสัยอะไร “ลูกกินดี นอนหลับดี ไม่เคยบ่นเรื่องอาหาร ฉันเลยไม่เคยตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว” เธอเล่า

กระทั่งวันหนึ่ง แม่โทรหาลูกเพื่อบอกว่าจะกลับบ้าน และชวนไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกัน แต่เด็กชายกลับพูดด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ไม่ต้องไปหรอกครับแม่ ข้าวที่บ้านอร่อยมากเลยครับ แม่บ้านทำให้กินทุกวัน ผมชอบมาก” คำพูดนั้นทำให้ผู้เป็นแม่รู้สึกแปลกใจ เพราะโดยปกติลูกชายจะชอบออกไปกินข้าวนอกบ้านมากกว่าอยู่บ้าน เธอจึงขอให้ลูกถ่ายภาพอาหารที่กินแต่ละมื้อส่งมาให้ดู 

ซึ่งพบว่าอาหารแต่ละมื้อมีความหลากหลาย หน้าตาน่ากิน และดูหรูหราเกินความสามารถของแม่บ้านทั่วไป เช่น ข้าวปลาแซลมอนราดซอส, เป็ดย่างราดซอส, ข้าวต้มเป๋าฮื้อ, ข้าวหน้าเนื้อ, พิซซ่า, ไก่ทอด, ลูกชิ้นทอด อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นเมนูโปรดของลูกชาย แต่สิ่งที่ทำให้เธอสะดุดตาคือ ภาพหนึ่งมีถุงพลาสติกที่มีโลโก้ร้านอาหารชื่อดัง “ฉันถึงกับนั่งไม่ติด ต้องเปิดกล้องวงจรปิดย้อนหลังดู และก็ได้คำตอบว่า… แม่บ้านไม่ได้ทำอาหารเองเลยแม้แต่มื้อเดียว!”

“ฉันไว้ใจเธอมาก คิดว่าเธอใส่ใจเรื่องโภชนาการของลูก ไม่คิดเลยว่าจะสั่งอาหารจากร้านมาตลอด” แม่บ้านรายนี้สามารถซื้ออาหารจากร้านดังให้เด็กกินได้ทุกวัน เพราะเธอและสามีไม่เคยจำกัดงบประมาณ ใช้วิธีให้เงินไปเรื่อยๆ ตามที่แม่บ้านขอ โดยคิดว่าเธอจะซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเอง ดังนั้น แม้มีเพียงแม่บ้านและลูกชายอยู่บ้าน แต่ค่าอาหารในแต่ละเดือนกลับสูงกว่า 10 ล้านด่ง (ประมาณ 14,500 บาท)

คุณแม่ยังบอกด้วยว่า เธอตัดสินใจกลับบ้านไปถามตรงๆ แบบเผชิญหน้าทันที แต่บ้านตอบกลับมาอย่างไม่แยแส

“หนูไม่คิดเลยว่าพี่จะซื้ออาหารจากร้านให้ลูกกินทุกมื้อ”

 “อาหารร้านก็อร่อย เด็กชอบกิน จะไปซีเรียสทำไมล่ะคะ?”

“ก็หนูจ้างพี่ให้ดูแลลูก ทั้งเรื่องอาหารและชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ให้พี่สั่งอาหารมาให้เด็กกินทุกมื้อแบบนี้!”

แม่ยังชี้ให้เห็นว่า ในสัญญาจ้างระบุไว้ชัดเจนว่าแม่บ้านต้อง “ทำอาหารให้เด็กกินครบ 3 มื้อต่อวัน” แต่แม่บ้านกลับแย้งว่า “ในสัญญาก็แค่ให้เด็กได้กินครบ 3 มื้อ ไม่ได้บอกว่าต้องทำเองซะหน่อย ไม่ปล่อยให้หิวก็ถือว่าโอเคแล้วไม่ใช่เหรอ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอจึงตัดสินใจเลิกจ้างทันที โดยไม่จ่ายค่าชดเชยใดๆ

อาหารสำเร็จรูปไม่เหมาะสำหรับเด็ก กินบ่อยอันตรายมากกว่าที่คิด

แม้เด็กๆ จะชอบกินอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารจากร้านดัง แต่ขณะเดียวกันอันตรายจากอาหารเหล่านี้ไม่อาจมองข้ามได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเด็กกินเป็นประจำทุกวัน ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น

  • ขาดสารอาหาร อาหารจานด่วนมักมีแคลอรีสูง แต่ขาดวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต
  • เสี่ยงโรคอ้วน เบาหวาน ไขมัน น้ำตาล และโซเดียมในอาหารสำเร็จรูปสูงมาก หากสะสมในร่างกายเด็กอาจส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรัง
  • ปัญหาระบบย่อยอาหาร เด็กอาจมีอาการท้องอืด ท้องเสีย หรือแพ้สารกันบูดในอาหารเหล่านี้ได้ง่าย
  • พฤติกรรมกินอาหารผิดสุขลักษณะ เด็กอาจติดรสจัด ชอบอาหารไม่ดีต่อสุขภาพ และไม่ยอมกินอาหารที่บ้าน
  • เสี่ยงติดเชื้อจากอาหาร หากอาหารไม่ได้เก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม อาจเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคที่อันตรายต่อสุขภาพเด็ก
  • เรื่องของคุณแม่ข้างต้นนี้ ถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ที่ต้องทำงานนอกบ้าน อย่ามอบความไว้วางใจให้ใครดูแลลูกของเรามากเกินไป อย่าคิดว่าลูกไม่บ่นแปลว่าทุกอย่างปกติดี อย่ามองข้ามเรื่องโภชนาการและพฤติกรรมการกินของลูก เพราะสุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ความสะดวกสบาย แต่คือ “สุขภาพและความปลอดภัยของลูกน้อย”