.jpg)
ภาษาที่ยากที่สุดในโลก เอเชียติดโผเพียบ ขึ้นแท่นยากตัวท็อป! มี "ภาษาไทย" ด้วย
เปิดรายชื่อภาษาที่ยากที่สุดในโลก ข้อมูลจากสถาบันบริการการทูต กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ เอเชียติดโผเพียบ ขึ้นแท่นตัวท็อป!
การเรียนรู้ภาษาใหม่มักต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก ตามข้อมูลจากสถาบันบริการการทูต (Foreign Service Institute – FSI) ในสังกัดกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเชี่ยวชาญในการฝึกอบรมด้านภาษาให้กับนักการทูต พบว่า บางภาษาสามารถเรียนจนคล่องได้ภายในเวลาประมาณ 1 ปี สำหรับผู้ที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก
FSI ได้จัดทำแผนที่แสดงระยะเวลาที่คนพูดภาษาอังกฤษโดยกำเนิดต้องใช้เพื่อให้เชี่ยวชาญในภาษาต่าง ๆ เกือบ 70 ภาษา แผนที่นี้ใช้เฉดสีเพื่อสื่อถึงระดับความยากของแต่ละภาษา ยิ่งสีเข้ม แสดงว่าต้องใช้เวลาศึกษานานขึ้น
สำหรับภาษาทางการของแต่ละประเทศนั้น อ้างอิงจาก CIA World Factbook
ส่วนประเทศที่ไม่มีภาษาทางการแน่ชัด เช่น โมซัมบิก ซึ่งมีหลายภาษาถูกใช้ควบคู่กัน จะถูกแสดงด้วยสีเทาในแผนที่
FSI แบ่งระดับความยากของภาษาต่าง ๆ ออกเป็น 4 กลุ่ม คล้ายกับการจัดอันดับความรุนแรงของพายุ ตั้งแต่ระดับ 1 (ง่ายที่สุด) ไปจนถึงระดับ 4 (ยากที่สุด)
ในระดับ 4 ซึ่งถือเป็นภาษาที่ “ยากสุดขีด” ผู้เรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจำเป็นต้องใช้เวลาราว 88 สัปดาห์ หรือประมาณ 2,200 ชั่วโมง เพื่อให้ถึงระดับสื่อสารได้คล่อง
ภาษาที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ ภาษาอาหรับ, ภาษาจีน (ทั้งกวางตุ้งและแมนดาริน), ภาษาญี่ปุ่น และภาษาเกาหลี
ถัดมาในระดับ 3 ซึ่งเป็นกลุ่มภาษาที่ยากในระดับปานกลาง มีอยู่ประมาณ 50 ภาษา ผู้เรียนโดยเฉลี่ยจะต้องใช้เวลา ราว 44 สัปดาห์ หรือ 1,100 ชั่วโมง ในการเรียนรู้จนเข้าใจและใช้ได้ดี
ภาษาที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ภาษารัสเซีย, ภาษาไทย, ภาษาเช็ก, ภาษาฮินดี และ ภาษาเวียดนาม แม้ภาษาเวียดนามจะมักถูกพูดถึงในฐานะภาษาที่ยากทั้งด้านไวยากรณ์และเสียงวรรณยุกต์ แต่ FSI ก็จัดให้อยู่เพียงในระดับ 3 เท่านั้น ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ถึงขั้นยากที่สุด
ข้อมูลเหล่านี้อ้างอิงจากประสบการณ์สอนภาษาและการวิจัยมากว่า 70 ปีของ FSI
ในความเป็นจริง ความเร็วในการเรียนรู้ภาษาของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พื้นฐานส่วนตัว, ประสบการณ์ทางภาษาที่เคยมีมาก่อน และ ระดับความทุ่มเทในการเรียน เช่น เรียนสม่ำเสมอหรือเว้นช่วง เรียนวันละกี่ชั่วโมง เป็นต้น
ข้อมูลช่วงเวลาในแผนที่นั้น แสดงระยะเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการเรียนรู้เพื่อให้ถึง ระดับ 3/3 ซึ่งหมายถึงความสามารถในการ พูดและอ่าน ได้ในระดับ 3 จาก 5 โดยระดับ 5/5 คือความสามารถเทียบเท่ากับเจ้าของภาษาที่มีการศึกษา คือ ออกเสียงได้ถูกต้อง เข้าใจบริบทลึกซึ้ง และใช้ภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ไม่มีมาตรฐานสากลที่ตายตัวว่า "ภาษาไหนง่ายหรือยากที่สุด" เพราะขึ้นอยู่กับพื้นฐานของผู้เรียนแต่ละคน
เช่น สำหรับผู้ใช้ภาษาอังกฤษโดยกำเนิด ภาษาอิตาลีอาจดูมีความยากพอประมาณ
แต่ถ้าผู้เรียนเป็นคนที่พูดภาษาสเปนเป็นหลัก การเรียนภาษาอิตาลีก็จะง่ายกว่ามาก เพราะทั้งสองภาษาอยู่ในกลุ่มภาษาโรมานซ์ (Romance Languages) ที่มีโครงสร้างคล้ายกัน
ในทางกลับกัน บางคนอาจเจออุปสรรคกับการออกเสียงในภาษาที่มีระบบวรรณยุกต์ เช่น ภาษาเวียดนาม ขณะที่บางคนกลับไม่รู้สึกว่ายากนัก
หรืออย่างเช่น ภาษาจีน ถึงแม้โครงสร้างไวยากรณ์จะไม่ซับซ้อนเท่าภาษาในยุโรปหลายภาษา แต่ความซับซ้อนของระบบตัวอักษรกลับทำให้ภาษาจีนกลายเป็นหนึ่งในภาษาที่ยากที่สุดสำหรับผู้เรียน
สรุปรายชื่อภาษาและระดับความยากในการเรียนรู้สำหรับผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
จัดอันดับโดย FSI - Foreign Service Institute โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับ จากง่ายที่สุด (ระดับ 1) ไปถึงยากที่สุด (ระดับ 4)
|