เนื้อหาในหมวด ข่าว

ความลับของเจ้านาย! นักวิจัยญี่ปุ่นไขปริศนาเสียงคราง \

ความลับของเจ้านาย! นักวิจัยญี่ปุ่นไขปริศนาเสียงคราง "Purr" ของแมวคืออะไร?

ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยเบาะแสใหม่เกี่ยวกับ "เสียงคราง" หรือ Purr อันเป็นเอกลักษณ์ของแมว ซึ่งเป็นเสียงที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามทำความเข้าใจมานาน ล่าสุดพบว่าเสียงนี้อาจมีรากฐานมาจากการกลายพันธุ์ของ ยีนตัวรับแอนโดรเจน (androgen receptor gene)

เสียง Purr ของแมวเป็นการสั่นสะเทือนที่เกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณกล่องเสียงและกระบังลม โดยจะมีความถี่อยู่ระหว่าง 25 ถึง 150 เฮิรตซ์ ซึ่งต่างจากสัตว์ในวงศ์เดียวกันอย่างสิงโตหรือเสือที่ไม่สามารถเปล่งเสียงประเภทนี้ได้

แมวจะส่งเสียงครางได้ในหลากหลายสถานการณ์ ทั้งขณะมีความสุข หิว หรือแม้กระทั่งเครียด เสียงนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารระหว่างแม่แมวกับลูกแมวแรกเกิด รวมถึงอาจมีคุณสมบัติทางชีวภาพในการบำบัด เช่น การกระตุ้นกล้ามเนื้อและส่งเสริมการซ่อมแซมกระดูก
115งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยเกียวโตได้ศึกษาพฤติกรรมของแมวบ้านพันธุ์ผสมจำนวน 280 ตัว ซึ่งผ่านการทำหมันและเลี้ยงในบ้านของเจ้าของ พร้อมกับเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอเพื่อตรวจวิเคราะห์ยีนตัวรับแอนโดรเจน

ผลการศึกษาเผยว่า แมวที่มียีนชนิด "สั้น" จะมีแนวโน้มส่งเสียงครางมากกว่า โดยเฉพาะในแมวตัวผู้ที่แสดงออกทางเสียงกับมนุษย์สูงกว่าแมวที่มียีนชนิด "ยาว" ส่วนในแมวตัวเมียที่มียีนชนิดสั้นกลับมีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อคนแปลกหน้ามากกว่า

เมื่อนำข้อมูลพันธุกรรมไปเปรียบเทียบกับสัตว์ในวงศ์แมว (Felidae) อีก 11 สายพันธุ์ พบว่า เสือดาวและแมวตกปลา ซึ่งมีความใกล้ชิดกับแมวบ้าน มียีนแบบสั้นเท่านั้น ขณะที่แมวบ้านมีทั้งยีนแบบสั้นและยาว โดยยีนชนิดยาวไม่ปรากฏในสัตว์ป่าอื่นๆ ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจเป็นผลมาจากกระบวนการคัดเลือกพันธุ์และการเลี้ยงโดยมนุษย์ในระยะยาว
bigstock-big-red-cat-lie-on-tข้อมูลจากงานวิจัยก่อนหน้านี้ยังพบว่า แมวพันธุ์แท้มักมียีนชนิดยาวมากกว่า และมีแนวโน้มใช้เสียงสื่อสารน้อยกว่าแมวพันธุ์ผสม โดยเฉพาะแมวที่เคยเป็นแมวจรจัดหรือเคยได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งมักร้องสื่อสารกับมนุษย์มากกว่า

ยูเมะ โอกาโมโตะ นักศึกษาปริญญาเอก หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวถึงความหวังของโครงการว่า "เราต้องการเข้าใจแมวให้มากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับแมวให้แน่นแฟ้นและมีความสุขยิ่งขึ้น"

การค้นพบครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการทำความเข้าใจพฤติกรรมและวิวัฒนาการของแมวบ้าน ซึ่งอาจช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์เลี้ยงกับมนุษย์ในอนาคต