เนื้อหาในหมวด ข่าว

ครอบครัว 4 ชีวิต ดับเรียงกันด้วย \

ครอบครัว 4 ชีวิต ดับเรียงกันด้วย "มะเร็งตับ" สาเหตุจากของใช้ในครัว พิษสูงกว่าสารหนู!

ครอบครัวจีนเสียชีวิตจากมะเร็งตับทั้งบ้าน ต้นเหตุมาจาก "ของใช้ในครัว" ที่มีสารพิษร้ายแรงกว่าอาร์เซนิกถึง 68 เท่า เตือนภัย! 5 พฤติกรรมเสี่ยง ใช้ผิดวิธี อาจเป็นต้นเหตุ "กลืนสารพิษ" โดยไม่รู้ตัว

เกิดเหตุสลดในประเทศจีน เมื่อครอบครัวหนึ่งมีสมาชิก 4 คนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่เคยมีประวัติพันธุกรรมเกี่ยวกับโรคดังกล่าวมาก่อน จนกระทั่งผู้เชี่ยวชาญพบว่าโศกนาฏกรรมดังกล่าวเกิดจาก “ของใช้ในครัว” ที่ใช้งานผิดประเภท และมีการสะสมของสารพิษชื่อ อะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งระดับรุนแรงที่สุด ชนิดที่มีความเป็นพิษสูงกว่า อาร์เซนิก ถึง 68 เท่า

ตามรายงานของ The Paper และ 39 Health นางสาวหลิวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับ ครอบครัวของเธอไม่มีประวัติเป็นมะเร็ง แต่ปู่ พ่อ และพี่ชายของเธอ ก็ล้วนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับทั้งหมด นางสาวหลิวเชื่อว่าต้องมีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้ครอบครัวของเธอมีอัตราการเป็นมะเร็งสูง เพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมนี้เกิดขึ้นกับลูกชายและลูกสาวของเธอ เธอจึงจ้างผู้เชี่ยวชาญมาทำการตรวจร่างกาย หลังจากทำการทดสอบ ผู้เชี่ยวชาญพบอะฟลาทอกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งประเภท 1 ในเขียงและตะเกียบที่ครอบครัวของนางสาวหลิวใช้ทุกวัน ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ครอบครัว 4 คนนี้ป่วยเป็นมะเร็ง

อะฟลาทอกซินคืออะไร? ตามรายงานจากศูนย์ความปลอดภัยด้านอาหารของไต้หวัน อะฟลาทอกซินเป็นสารพิษจากเชื้อรา Aspergillus ที่พบได้ในสภาพแวดล้อมร้อนชื้น โดยเฉพาะในอาหารแห้งที่เก็บไว้นาน เช่น ถั่ว ข้าวโพด หรือของใช้ในครัวที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม ซึ่งสารชนิดนี้สามารถทำให้เกิดพิษต่อตับแบบเฉียบพลัน ไปจนถึงตับแข็ง และมะเร็งตับในระยะยาว

เปิด 5 สิ่งของในครัวเสี่ยงสูง เตือนใช้งานผิดชีวิตอาจพัง

1. หม้ออลูมิเนียม
แม้อะลูมิเนียมจะเป็นโลหะน้ำหนักเบาและนำความร้อนได้ดี แต่การใช้งานเป็นเวลานานอาจทำให้โลหะหลุดปนลงในอาหารได้ หากสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาไต อาจนำไปสู่โรคกระดูกและโรคสมองจากการสะสมโลหะหนัก

2. กระทะเหล็กขึ้นสนิม
หากกระทะเหล็กไม่ได้ใช้งานเป็นประจำ จะเกิดการออกซิไดซ์จนเป็นสนิม สนิมเหล่านี้อาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราและแบคทีเรีย หากยังนำมาใช้งานต่อ อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนในอาหาร

3. เขียงไม้ขึ้นรา
เขียงไม้แม้จะแข็งแรง แต่หากใช้งานนานจะเกิดรอยขีดข่วน ซึ่งเป็นจุดสะสมของความชื้นและเชื้อรา แม้จะล้างด้วยน้ำร้อนและน้ำยาล้างจาน ก็ไม่สามารถกำจัดเชื้อราได้หมด ควรเปลี่ยนเขียงทันทีเมื่อพบราขึ้น ควรเปลี่ยนไปใช้เขียงพลาสติก PP ที่สามารถทนความร้อนได้ถึง 120-130°C และทำความสะอาดได้ง่ายกว่า

4. ตะเกียบไม้ (โดยเฉพาะแบบมีร่อง)
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในไต้หวันพบว่า ตะเกียบไม้มีรูพรุนตามธรรมชาติ แม้ล้างแล้วก็ยังมีเศษอาหารติดค้าง ส่งผลให้มีแบคทีเรียสูงถึง 660 หน่วยต่อตะเกียบ และตะเกียบไม้แบบมีร่องยิ่งมีเชื้อสูงถึง 13,000 หน่วย สกปรกกว่าฝารองชักโครกถึง 7-8 เท่า ดังนั้น หลีกเลี่ยงการใช้ตะเกียบมีร่อง และเปลี่ยนตะเกียบใหม่เป็นประจำ ควรเลือกใช้แบบสีเรียบเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของโลหะหนักและสีสังเคราะห์

5. ผ้าเช็ดในครัว
พื้นที่ครัวมีความชื้นสูง เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อโรค ผ้าเช็ดที่ไม่ซักภายใน 2 วันอาจสะสมแบคทีเรียได้มากถึง 600 ล้านตัว คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคือ ควรซักผ้าทำความสะอาดในครัวทุกวัน และควรแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อหรือน้ำยาฟอกขาวก่อนตากให้แห้ง

 “ของใช้ในครัว” อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด แม้ครัวจะเป็นพื้นที่ทำอาหารที่ควรสะอาดและปลอดภัยที่สุดในบ้าน แต่หากละเลยการดูแล อุปกรณ์เล็กๆ อย่างเขียง ตะเกียบ หรือผ้าเช็ดโต๊ะ อาจกลายเป็นต้นเหตุสะสมสารพิษและเชื้อโรคร้ายแรงที่นำไปสู่โรคเรื้อรังหรือแม้แต่มะเร็งได้ แนะนำให้ตรวจสอบและเปลี่ยนของใช้ในครัวอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงใส่ใจวิธีการทำความสะอาดที่ถูกต้อง เพื่อปกป้องสุขภาพของทุกคนในครอบครัว

\

"บอย-ภัทร์" เปิดใจคุณแม่จากไปด้วยโรคมะเร็งที่ไต เผยช่วงเวลาสุดท้ายค่อยๆ บอก "น้องวันใหม่"

บอย ปกรณ์ - ภัทร์ เปิดใจครั้งแรกหลังสูญเสียคุณแม่งามทิพย์ เผยคุณแม่ป่วยเป็นมะเร็งที่ไต 6 ปี อยู่โรงพยาบาล 3 เดือนก่อนจากไปอย่างสงบ

แพทย์ชี้ช่อง 3 สมบัติต้านมะเร็ง อาหารที่ผู้ป่วยกินแล้ว \

แพทย์ชี้ช่อง 3 สมบัติต้านมะเร็ง อาหารที่ผู้ป่วยกินแล้ว "หายขาด" โรคไม่กลับมาเป็นซ้ำ!

แพทย์เปิดชื่อ 3 สมบัติต้านมะเร็ง มีผักที่เหม็นมาก แต่คือ "ของดี" ชายป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง กินทุกวัน 1 ปีครึ่ง ไม่กลับมาเป็นซ้ำ!

หมอเตือน \

หมอเตือน "กินไก่" เท่าไหร่ต่อสัปดาห์ ถึงเพิ่มอัตราเสียชีวิต 27% ผู้ชายเสี่ยงมะเร็งพุ่ง 2.6 เท่า!

เตือนภัยสุขภาพ! วิจัยชี้ "กินไก่มากเกิน" เสี่ยงเสียชีวิตเพิ่ม 27% มะเร็งทางเดินอาหารในผู้ชายพุ่ง 2.6 เท่า