
ถ้ามนุษย์ทั้งโลก "หยุดมีลูกพร้อมกัน" จะเกิดอะไรขึ้น? มนุษยชาติจะอยู่รอดได้อีกกี่ปี?
นักมานุษยวิทยาชี้ หากวันหนึ่งคนทั่วโลกตัดสินใจ "ไม่ขอมีลูกอีกต่อไป" โลกจะเป็นอย่างไร? และมนุษย์จะอยู่รอดไปได้อีกกี่ปี ก่อนทุกอย่างจะถึงจุดจบ
จากวิกฤตเกิดน้อย สู่คำถามใหญ่ของมนุษยชาติ
ปัญหาการเกิดลดลงกำลังกลายเป็นวิกฤตใหญ่ในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เมื่อคนรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกที่จะไม่มีลูก ด้วยเหตุผลด้านเศรษฐกิจ สังคม ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิต
ส่งผลให้มีคำถามเชิงสมมุติฐานว่า “ถ้าทุกคนบนโลกหยุดมีลูกในเวลาเดียวกัน มนุษยชาติจะสูญพันธุ์ภายในกี่ปี?”
โลกจะเงียบเหงาภายในร้อยปี?
หากมองจากอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ที่ไม่ค่อยเกิน 100 ปี การหยุดให้กำเนิดมนุษย์รุ่นใหม่หมายความว่า ภายในศตวรรษเดียว มนุษยชาติอาจหายไปจากโลก
แต่สถานการณ์จริงอาจเลวร้ายเร็วกว่านั้น เพราะปัญหาจะค่อยๆทวีความรุนแรง ไม่ใช่แค่เรื่องจำนวนคนที่ลดลง แต่รวมถึงระบบสังคมที่อาจพังทลายลงตามไปด้วย
อารยธรรมล่มสลายก่อนมนุษย์หมดสิ้น
ศ.ไมเคิล ลิตเติล นักมานุษยวิทยาเกียรติคุณจากมหาวิทยาลัยบิงแฮมตัน รัฐนิวยอร์ก ระบุว่า หากการเกิดหยุดลงทั้งหมดพร้อมกัน สังคมมนุษย์จะเริ่มเสื่อมถอยภายในไม่กี่ทศวรรษ เพราะจะไม่มีแรงงานหนุ่มสาวเพียงพอในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ผลิตอาหาร หรือแม้แต่ดูแลผู้สูงอายุ
“คุณอาจคิดว่าเราจะอยู่ได้ 100 ปี แต่ความจริงแล้วเราน่าจะเริ่มพังภายใน 70-80 ปี เพราะไม่มีคนทำงาน ไม่มีอาหาร ยา น้ำสะอาด หรือสิ่งจำเป็นที่เคยหาได้ง่ายในปัจจุบัน” ลิตเติล กล่าว
โลกอาจไม่ต้องรอให้ทุกคน "สมัครใจ" ไม่มีลูก
แม้แนวคิดเรื่องการหยุดมีลูกพร้อมกันทั้งโลกจะดูไกลตัว แต่ ศาสตราจารย์ลิตเติล ชี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นจากภัยพิบัติร้ายแรง เช่น โรคระบาดที่ทำให้ผู้คนสูญเสียความสามารถในการเจริญพันธุ์ หรือสงครามนิวเคลียร์ระดับที่ล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์จนหมดสิ้น
จากเคยกลัว "คนล้นโลก" สู่ยุค "คนหายไป"
ในช่วงทศวรรษ 1960-1970 มนุษย์เคยกังวลว่าประชากรโลกจะมากเกินไปและนำไปสู่หายนะ แต่ในปัจจุบัน ภาวะอัตราการเกิดต่ำกำลังกลายเป็นฝันร้ายของหลายประเทศ แม้ประชากรโลกจะยังเพิ่มอยู่และคาดว่าจะพุ่งแตะ 10,000 ล้านคนในทศวรรษ 2080 (จาก 8,000 ล้านคนในปัจจุบัน) แต่ก็เป็นการเพิ่มที่ช้าลงมากเมื่อเทียบกับอดีต
ในสหรัฐฯ ประชากรเพิ่มขึ้นจาก 142 ล้านคนในปี 1930 เป็น 342 ล้านคนในปัจจุบัน แต่หากจำนวนผู้เสียชีวิตแซงหน้าผู้เกิดเมื่อใด ก็จะเข้าสู่ภาวะ "ประชากรลดลงถาวร" ซึ่งยากจะแก้ไข
คนหนุ่มสาวคือพลังขับเคลื่อนสังคม
ศ.ลิตเติล เตือนว่า สิ่งสำคัญที่สุดในวิกฤตนี้คือ “สมดุลของประชากร” ระหว่างคนหนุ่มสาวกับผู้สูงอายุ เพราะวัยแรงงานคือต้นทางของทุกอย่างที่เราพึ่งพา ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดใหม่ เทคโนโลยี หรือแรงงานในการผลิตสินค้า ขณะเดียวกัน ผู้สูงวัยจำนวนมากก็ต้องพึ่งพาคนรุ่นใหม่ในการดูแลชีวิตประจำวัน
หลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้และอินเดีย กำลังประสบปัญหาอัตราการเกิดต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีลูกน้อยลงกว่ารุ่นแม่มาก ขณะที่การอพยพย้ายถิ่นก็ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้เพราะติดข้อจำกัดด้านการเมืองและวัฒนธรรม
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยซ่อนเร้น เช่น ภาวะเจริญพันธุ์ของผู้ชายที่ถดถอยลงในหลายประเทศ ซึ่งหากแนวโน้มนี้รุนแรงขึ้น อาจทำให้จำนวนประชากรโลกลดลงแบบฉับพลันยิ่งกว่าเดิม
โฮโมเซเปียนส์ก็อาจไม่รอด
มนุษย์ยุคใหม่หรือโฮโมเซเปียนส์ ดำรงอยู่บนโลกมาอย่างน้อย 200,000 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่รอดตลอดไป ตัวอย่างจากมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่มาก่อนกว่า 400,000 ปี สุดท้ายก็สูญพันธุ์ไปเมื่อราว 40,000 ปีก่อน เพราะโฮโมเซเปียนส์สามารถปรับตัวได้ดีกว่าและสืบพันธุ์ได้มากกว่า
หากมนุษย์สูญพันธุ์... โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร?
ถ้ามนุษย์หมดไปจากโลก สัตว์ชนิดอื่นอาจมีโอกาสเติบโตและยึดพื้นที่โลกคืน แต่ความสูญเสียที่แท้จริงคือ “วัฒนธรรมและความรู้” ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ วิทยาศาสตร์ หรือเทคโนโลยีระดับสูง
ศ.ลิตเติล ทิ้งท้ายว่า “มนุษย์จำเป็นต้องวางแผนอนาคตเพื่อความอยู่รอดระยะยาว นอกจากจะต้องจัดการกับอัตราการเกิดแล้ว ยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเร่งด่วนอย่างโลกร้อน และหลีกเลี่ยงการทำลายล้างด้วยสงครามอีกด้วย”