
ไขความลับ "โรคจำเลยรัก" หรือ Stockholm Syndrome คืออะไร?
โรคจำเลยรัก หรือ Stockholm Syndrome คืออะไร? เข้าใจภาวะจิตใจที่เหยื่อหลงรักผู้ลักพาตัว
“โรคจำเลยรัก” หรือที่รู้จักในชื่อสากลว่า Stockholm Syndrome (สต็อกโฮล์ม ซินโดรม) เป็นภาวะทางจิตใจที่เหยื่อของการลักพาตัว การกักขัง หรือความรุนแรงอื่นๆ พัฒนาความรู้สึกเห็นใจ หรือแม้กระทั่งผูกพันทางอารมณ์กับผู้ก่อเหตุ บางครั้งถึงขั้นปกป้องหรือปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ แม้จะเป็นผู้ถูกกระทำโดยตรงก็ตาม
สาเหตุของภาวะนี้มักเกิดจากกลไกการเอาตัวรอดของจิตใจภายใต้ความเครียดรุนแรง เมื่อเหยื่อรู้สึกว่าไม่มีทางหนี ไม่มีอำนาจในการควบคุมสถานการณ์ สมองจะพยายาม “สร้างความสัมพันธ์” กับผู้คุกคาม เพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอด ซึ่งบางครั้งอาจแปรเปลี่ยนเป็นความผูกพันอย่างไม่รู้ตัว
แม้จะถูกเรียกว่า “โรค” แต่ในทางการแพทย์ Stockholm Syndrome ไม่ได้ถูกจัดเป็นความผิดปกติทางจิตเวชอย่างเป็นทางการในคู่มือวินิจฉัยโรคทางจิต (DSM-5) แต่ก็เป็นภาวะที่ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางทั้งในวงการจิตวิทยา สังคมวิทยา และในสื่อ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏในคดีอาชญากรรมที่เหยื่อมีท่าทีสนับสนุนผู้ลักพาตัว
ชื่อ “Stockholm Syndrome” มีจุดเริ่มต้นจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในประเทศสวีเดน เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1973 คนร้าย 2 คนบุกปล้นธนาคาร Sveriges Kreditbanken ในกรุงสตอกโฮล์ม และจับตัวพนักงานธนาคาร 4 คนเป็นตัวประกันนานถึง 6 วัน
ตลอดระยะเวลาที่ถูกควบคุมภายในตู้เซฟธนาคาร ตัวประกันเริ่มรู้สึกผูกพันกับผู้ก่อเหตุ พวกเขาระบุว่า ผู้จับตัวไม่ได้ทำร้ายพวกเขา และยังให้ความคุ้มครองจากการบุกจู่โจมของตำรวจ บางรายถึงกับตำหนิเจ้าหน้าที่ว่าใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ขณะที่หนึ่งในเหยื่อยังพัฒนาความสัมพันธ์กับคนร้ายจนหมั้นกันในเวลาต่อมา
เหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าหน้าที่และสาธารณชนอย่างมาก จนนักจิตวิทยาต้องเริ่มศึกษาพฤติกรรมดังกล่าวอย่างจริงจัง และในที่สุดจึงเกิดคำว่า “Stockholm Syndrome” เพื่อใช้เรียกภาวะที่เหยื่อเกิดความผูกพันกับผู้ลักพาตัวหรือผู้ใช้ความรุนแรง
ภาวะจำเลยรักนี้ยังเกิดขึ้นในเหตุการณ์อื่นอีกหลายครั้ง เช่น กรณีของ แพตตี เฮิร์สต์ (Patty Hearst) ทายาทเศรษฐีชาวอเมริกันที่ถูกลักพาตัวในปี 1974 โดยกลุ่มหัวรุนแรง ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนบทบาทมาเข้าร่วมกับกลุ่มและร่วมปล้นธนาคาร จนกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก
แม้ภาวะนี้จะไม่พบได้ทั่วไป แต่ก็เป็นเครื่องเตือนใจว่า การตอบสนองของเหยื่อต่อความรุนแรงไม่อาจตัดสินได้จากภายนอกเพียงอย่างเดียว เพราะในบางกรณี ความรักหรือความภักดีที่ดู “ผิดปกติ” อาจเป็นเพียงกลไกในการปกป้องตัวเองของจิตใจในช่วงเวลาที่สิ้นหวังอย่างถึงที่สุด