
เลือดส่งผลต่อ IQ จริงหรือ ถ้าจัดอันดับ AB เกิดมาฉลาดที่สุด แล้วเด็กกรุ๊ปอะไรตรงกันข้าม?!
กรุ๊ปเลือดกับไอคิวของเด็กเกี่ยวข้องกันจริงหรือ? เปิดวิจัยสำรวจอันดับตามกลุ่มเลือด พร้อมวิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาดตั้งแต่เล็ก
ความเชื่อมโยงระหว่างกรุ๊ปเลือด, ไอคิว และลักษณะนิสัย เป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจมาอย่างต่อเนื่องในหมู่นักวิชาการและสาธารณชน หลายคนอาจเคยได้ยินว่า “กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย” แต่ทราบหรือไม่ว่า กรุ๊ปเลือดอาจมีผลต่อระดับไอคิวของเด็กด้วย?
กลุ่มเลือดมีผลต่อ IQ จริงหรือ? นักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศส อัลเฟรด บิเนต์ (Alfred Binet) ผู้คิดค้นแบบทดสอบไอคิวสมัยใหม่ เคยทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างไอคิวและกรุ๊ปเลือดในเด็กจากหลายประเทศ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า เด็กแต่ละกรุ๊ปเลือดมีจุดเด่นด้านความจำ ความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจ และจินตนาการแตกต่างกัน
ขณะเดียวกัน การศึกษาโดยศาสตราจารย์ ซน ยงอู และนักวิจัย ยู ซองอิก จากมหาวิทยาลัยยอนเซ ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2008 ก็สนับสนุนแนวคิดนี้ โดยเผยแพร่บทความ "ภาพรวมของการศึกษาเกี่ยวกับการจำแนกกลุ่มเลือด" ซึ่งระบุลักษณะนิสัยเฉพาะของแต่ละกลุ่มเลือด เช่น
-
กรุ๊ปเลือด O มีแนวโน้มเป็นคนเปิดเผย
-
กรุ๊ปเลือด A คิดวิเคราะห์ดี มีตรรกะ แต่เก็บตัว
-
กรุ๊ปเลือด B อ่อนไหว อิงอารมณ์
-
กรุ๊ปเลือด AB ผสมผสานคุณสมบัติของกรุ๊ปเลือด A และ B
แล้วสรุปว่า ไอคิวตามกรุ๊ปเลือดลูกของคุณอยู่ลำดับไหน? หากพิจารณาจากผลการศึกษาเหล่านี้ ผู้เชี่ยวชาญได้จัดอันดับค่าเฉลี่ยไอคิว โดยแยกตามกรุ๊ปเลือด ดังนี้
อันดับ 4: กรุ๊ปเลือด B
ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป B มักใช้อารมณ์และสัญชาตญาณนำความคิด พัฒนาการของสมองซีกขวาทำให้มีความคิดสร้างสรรค์เด่นชัด จึงมักพบในสายอาชีพศิลปะ เช่น ผู้กำกับ หลี่ อัน (จีน), คีตกวี โจ ฮิไซชิ (ญี่ปุ่น) และ โชแปง นักเปียโนผู้โด่งดัง
อันดับ 3: กรุ๊ปเลือด A
เด็กกลุ่มนี้มักเก็บตัว แต่มีทักษะการคิดวิเคราะห์สูง ด้วยความรอบคอบและมีตรรกะ พวกเขามีแนวโน้มจะเก่งในสายวิทยาศาสตร์ เช่น คณิตศาสตร์ วิศวกรรม และการออกแบบอุตสาหกรรม ประเทศเยอรมนีที่ขึ้นชื่อด้านความแม่นยำทางอุตสาหกรรม มีประชากรถึง 43% ที่มีเลือดกรุ๊ป A
อันดับ 2: กรุ๊ปเลือด O
กรุ๊ปเลือด O ถือเป็นกลุ่มเลือดที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ มาจากแอฟริกา และแพร่กระจายทั่วโลกผ่านการคัดเลือกทางธรรมชาติ ทำให้เด็กที่มีเลือดกรุ๊ป O มักมีสุขภาพแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันดี การศึกษาของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์พบว่า เด็กกลุ่มนี้มีปริมาณฮิปโปแคมปัส (hippocampus) ซึ่งเป็นศูนย์ความจำในสมองสูงกว่ากลุ่มอื่น ส่งผลให้มีความจำดี, อีคิวสูง และมีค่าเฉลี่ยไอคิวสูงตามไปด้วย
อันดับ 1: กรุ๊ปเลือด AB
แม้จะพบได้น้อยเพียง 9% ของประชากรโลก แต่เด็กกรุ๊ป AB มีทั้งตรรกะจากสมองซีกซ้าย และความคิดสร้างสรรค์จากสมองซีกขวา พวกเขาจึงสามารถวิเคราะห์ปัญหาอย่างมีเหตุผล พร้อมเสนอแนวทางใหม่ ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้โดยเฉลี่ย IQ ของกลุ่ม AB สูงกว่ากลุ่มอื่น
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังไม่ยืนยันความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างกลุ่มเลือดกับไอคิว โดยพวกเขาเห็นตรงกันว่า ไอคิวของเด็กนั้นขึ้นอยู่กับพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เป็นหลัก
แม้พันธุกรรมจะเปลี่ยนไม่ได้ แต่สิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่พ่อแม่สามารถกำหนดและพัฒนาได้ นี่คือ 3 วิธีที่สามารถช่วยส่งเสริมไอคิวลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สมองของทารกผลิตการเชื่อมโยงทางประสาท (neural connections) ใหม่ถึง 700-1000 เส้นต่อวินาทีในช่วง 3 ปีแรกของชีวิต การพูดคุยอย่างสม่ำเสมอช่วยกระตุ้นการสร้าง synapse ส่งผลต่อการพัฒนาด้านภาษา ความคิด และการเรียนรู้ แนวคิด “ช่องว่าง 30 ล้านคำ” แสดงให้เห็นว่า เด็กที่ได้ยินคำศัพท์มากในวัยแรกเกิดจะฉลาดกว่าเด็กที่ได้ยินน้อยในระยะยาว
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กพบว่า การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์สมองใหม่ และพัฒนาความจำระยะยาว นอกจากนี้ ยังเพิ่มการผลิต BDNF ซึ่งเปรียบเสมือนปุ๋ยบำรุงสมอง ช่วยให้เซลล์ประสาทเติบโตและเชื่อมโยงกันได้ดีขึ้น
เด็กที่ได้รับอาหารไม่สมดุลในช่วง 3 ขวบแรก จะมี IQ ต่ำกว่าเด็กที่ได้รับสารอาหารเพียงพอ แม้จะปรับปรุงการกินภายหลัง ก็ไม่สามารถชดเชยผลกระทบได้ สารอาหารสำคัญ เช่น โปรตีน, โอเมก้า3, ธาตุเหล็ก, สังกะสี, วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เป็นวัตถุดิบสำคัญในการพัฒนาสมอง
ท้ายที่สุด แม้กรุ๊ปเลือดอาจมีอิทธิพลบางส่วนต่อพฤติกรรมและความสามารถทางปัญญา แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่กำหนดไอคิวของเด็กคือ การเลี้ยงดู และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะลูกคุณมีกลุ่มเลือดอะไร พ่อแม่ทุกคนสามารถเลี้ยงลูกให้ฉลาดได้ หากเริ่มต้นให้ดีตั้งแต่วันนี้
- ศจ.ชื่อดัง ชี้สังเกต “เด็ก EQ ต่ำ” มักมี 3 พฤติกรรมนี้บนโต๊ะอาหาร พ่อแม่ต้องรีบแก้ไขด่วน!
- ไขปริศนา "ลำดับการเกิด" ลูกคนโต-คนกลาง-คนสุดท้อง ใครฉลาดและหาเงินเก่งกว่า?