
อ๋อ มิน่าล่ะ! เปิดวาร์ป "หญิงเขมร" ชี้หน้าด่าทหารไทย เป็นถึง 'เชื้อพระวงศ์เขมร'
อ๋อ มิน่าล่ะ! เปิดประวัติ "หญิงเขมร" ชี้หน้าด่าทหารไทย เป็นถึง 'เชื้อพระวงศ์เขมร'
จากกรณีที่เกิดเหตุวุ่นวายบริเวณ ปราสาทตาเมือนธม เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 หญิงชาวกัมพูชารายหนึ่งได้แสดงพฤติกรรมชี้หน้าต่อว่าทหารไทย จนกลายเป็นกระแสบนโซเชียล และนำไปสู่การตั้งคำถามว่าเธอคือใคร และมาด้วยจุดประสงค์ใด?
เปิดโปรไฟล์ “นโรดม แพน โมนิก้า” หญิงผู้ก่อเหตุ
ต่อมา เพจ ชุมชนคนสุรินทร์ ได้เผยภาพหญิงคนดังกล่าว พร้อมระบุชื่อว่าเธอคือ นโรดม แพน โมนิก้า (នរោត្តម ផែន ម៉ូនីកា) โดยมีการอ้างว่าเป็นหลานสาวของ สมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์แห่งกัมพูชา และเป็นบุตรสาวของ ศาสตราจารย์แก้ว แพน ครูดนตรีชื่อดังของประเทศ ซึ่งนั่นทำให้เธอมี “สายเลือดเชื้อพระวงศ์” และอยู่ในแวดวงชนชั้นนำของกัมพูชา
ไม่เพียงเท่านั้น รายงานจากฝั่งกัมพูชายังระบุว่าเธอมีตำแหน่งเป็นนายทหารหญิงระดับพันเอก ซึ่งหากข้อมูลนี้เป็นจริง จะทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีนัยทางการเมืองและความมั่นคงมากกว่าที่หลายคนคาดคิด
ข้อสรุปจากการหารือ ไทย-กัมพูชา
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 มีการหารือร่วมกันระหว่าง พ.อ.บุญเสริม บุญบำรุง รอง ผบ.กกล.สุรนารี กับ พล.ต.เนี๊ยะ วงค์ ผบ.พลน้อย ร.42 ฝ่ายกัมพูชา บนพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม โดยมีข้อตกลงร่วมกันดังนี้:
นอกจากนี้ ทหารไทยที่ปรากฏในคลิปวิดีโอก็ได้มีการสับเปลี่ยนเวร เพื่อป้องกันเหตุปะทะหรือลุกลามของสถานการณ์
ใคร "ส่งเธอมา"?
คำถามที่ยังไม่มีคำตอบแน่ชัดคือ เธอเดินทางมาในฐานะ "ประชาชนทั่วไป" หรือแท้จริงแล้วมีภารกิจบางอย่างที่ “แฝงมา” เพื่อกดดันประเทศไทยในประเด็นพื้นที่ทับซ้อน?
ด้วยสถานะของ นโรดม แพน โมนิก้า ทั้งในฐานะเชื้อพระวงศ์ ลูกหลานอดีตกษัตริย์กัมพูชา และนายทหารหญิงระดับสูง การแสดงพฤติกรรมต่อกรกับเจ้าหน้าที่ไทยอาจไม่ใช่แค่ “อารมณ์ชั่ววูบ” แต่มีการจัดฉากหรือส่งสัญญาณบางอย่าง
ภาพไวรัล และกระแสโซเชียลเขมร
ชาวเน็ตกัมพูชาจำนวนมากแสดงความชื่นชมในตัว “นโรดม แพน โมนิก้า” ถึงขั้นยกย่องให้เธอเป็น “วีรสตรี” ที่กล้าเผชิญหน้ากับทหารไทย ขณะที่ในประเทศไทยเอง เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นละเอียดอ่อนเกี่ยวกับความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน
บทสรุป
แม้เหตุการณ์จะดูเหมือนการโต้เถียงส่วนบุคคล แต่ด้วยโปรไฟล์ของผู้ก่อเหตุและบริบทของพื้นที่พิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา เหตุการณ์นี้อาจสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่อาจต้องจับตาอย่างใกล้ชิด