เนื้อหาในหมวด ข่าว

เปิด 6 แยกจราจร ที่อาจโดนเก็บเงินก่อนใคร หากไทยเก็บ \

เปิด 6 แยกจราจร ที่อาจโดนเก็บเงินก่อนใคร หากไทยเก็บ "ภาษีรถติด" เดาไม่ยาก แยกไหนบ้าง

แนวทาง “ภาษีรถติด” ในประเทศไทย: เส้นทางนำร่อง อัตรา และบทเรียนจากต่างประเทศ

ประเทศไทยกำลังพิจารณาแนวทางการเก็บ “ภาษีรถติด” (Congestion Charge) เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในเขตเมือง โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งแนวทางนี้อ้างอิงจากหลักเศรษฐศาสตร์จราจรที่เมืองใหญ่ทั่วโลกนำมาใช้แล้วได้ผล ทั้งนี้กระทรวงคมนาคม และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (OTP) กำลังศึกษาแผนเบื้องต้นร่วมกับ GIZ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี

6 แยกหลักในกรุงเทพฯ ที่อาจเป็นพื้นที่เก็บภาษีนำร่อง

ถนนที่มีแนวโน้มสูงว่าจะถูกกำหนดให้เป็นโซนเก็บภาษีรถติด มีดังนี้:

  • แยกเพชรบุรี–ทองหล่อ (ถนนเพชรบุรี และทองหล่อ): 60,112 คัน/วัน
  • แยกสีลม–นราธิวาส (ถนนสีลม และนราธิวาสราชนครินทร์): 62,453 คัน/วัน
  • แยกสาทร–นราธิวาส (ถนนสาทร และนราธิวาสราชนครินทร์): 83,368 คัน/วัน
  • แยกปทุมวัน (ถนนพญาไท และพระราม 1): 62,453 คัน/วัน
  • แยกราชประสงค์ (ถนนราชดำริ, พระราม 1 และเพลินจิต): 56,235 คัน/วัน
  • แยกประตูน้ำ (ถนนราชดำริ, ราชปรารภ และเพชรบุรี): 68,473 คัน/วัน
  • พื้นที่เหล่านี้อยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจที่มีความหนาแน่นของการจราจรสูงที่สุด และมีจำนวนรถเข้าออกเกิน 60,000 คันต่อวัน

    โครงสร้างค่าธรรมเนียมและหลักการกำหนดราคา

    • ช่วงเริ่มต้น: ค่าผ่านทางอยู่ที่ 40–50 บาท/คัน ในช่วง 5 ปีแรก
    • หลัง 5 ปี: ค่าธรรมเนียมอาจเพิ่มขึ้นเป็น 80 บาท/คัน
    • เก็บเฉพาะช่วงเวลารถติด: เช่น ช่วงเช้าและเย็น (Peak Hours)

    แนวทางการคิดราคานี้จะพิจารณาจาก:

    • ระดับความแออัดของแต่ละเส้นทาง
    • การมีทางเลือกด้านขนส่งสาธารณะ (เช่น BTS, MRT)
    • เป้าหมายการลดมลพิษฝุ่น และลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนตัว
    • รายได้จากค่าธรรมเนียมจะนำไปใช้สนับสนุนการลดค่าโดยสารขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า

    พื้นฐานแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์

    แนวทางนี้อ้างอิงจากหลัก “ผู้ก่อปัญหาต้องรับภาระต้นทุนส่วนเกิน” (Pay for External Cost) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ใช้ในหลายประเทศ:

    • คนที่ใช้รถในเวลาที่การจราจรติดขัด ต้องจ่ายค่าผ่านทางที่สะท้อนผลกระทบต่อส่วนรวม เช่น มลพิษ เวลาเดินทางที่สูญเสีย
    • เป็นการบริหารดีมานด์ โดยจูงใจให้เปลี่ยนไปใช้ขนส่งมวลชน หรือลดการเดินทางในช่วงเร่งด่วน
    • ลดต้นทุนการลงทุนด้านถนนใหม่ ๆ ด้วยการบริหารทรัพยากรเดิมอย่างมีประสิทธิภาพ
    • รายได้ที่ได้จะนำกลับมาใช้เพื่อสาธารณะ ไม่ใช่เก็บเข้ารัฐเพียงอย่างเดียว

    ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบ “ภาษีรถติด”

    เมือง/ประเทศ รายละเอียดสำคัญ ค่าธรรมเนียมเฉลี่ย
    สิงคโปร์ เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1975 และพัฒนาเป็นระบบ ERP ในปี 1998 คิดตามช่วงเวลารถติด สูงสุด ~2–3 ดอลลาร์สิงคโปร์/ครั้ง
    ลอนดอน (สหราชอาณาจักร) เริ่มใช้ปี 2003 ในเขตศูนย์กลางธุรกิจ £15/วัน (เก็บเฉพาะวันทำงานช่วงพีค)
    สตอกโฮล์ม (สวีเดน) เริ่มใช้จริงปี 2007 หลังทดลอง SEK 11–35/ครั้ง สูงสุด SEK 105/วัน
    มิลาน (อิตาลี) ใช้ระบบ “Area C” ในเขตเมืองเก่า €5/วัน
    นิวยอร์ก (สหรัฐฯ) มีแผนเริ่มใช้กลางปี 2024 ~15 ดอลลาร์สหรัฐ/วัน (ตามแผนเบื้องต้น)

    หมายเหตุ: แต่ละประเทศมักกำหนดภาษีตาม “พื้นที่” และ “ช่วงเวลา” โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการลดใช้รถยนต์ส่วนตัว และสนับสนุนระบบขนส่งมวลชน

    สรุปภาพรวม

    แนวคิดการเก็บภาษีรถติดในไทยอยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษาและประเมินผล โดยโฟกัสไปยังพื้นที่ที่มีปริมาณรถมากที่สุดในกรุงเทพฯ อัตราเริ่มต้นอยู่ที่ 40–50 บาท/คัน ในช่วง 5 ปีแรก โดยรายได้นี้จะนำกลับไปสนับสนุนระบบขนส่งมวลชน เช่น การอุดหนุนค่าโดยสารรถไฟฟ้า เพื่อให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้รถส่วนตัว เป็นระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเมืองมากขึ้น