
เปิด 6 แยกจราจร ที่อาจโดนเก็บเงินก่อนใคร หากไทยเก็บ "ภาษีรถติด" เดาไม่ยาก แยกไหนบ้าง
แนวทาง “ภาษีรถติด” ในประเทศไทย: เส้นทางนำร่อง อัตรา และบทเรียนจากต่างประเทศ
ประเทศไทยกำลังพิจารณาแนวทางการเก็บ “ภาษีรถติด” (Congestion Charge) เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในเขตเมือง โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งแนวทางนี้อ้างอิงจากหลักเศรษฐศาสตร์จราจรที่เมืองใหญ่ทั่วโลกนำมาใช้แล้วได้ผล ทั้งนี้กระทรวงคมนาคม และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (OTP) กำลังศึกษาแผนเบื้องต้นร่วมกับ GIZ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี
6 แยกหลักในกรุงเทพฯ ที่อาจเป็นพื้นที่เก็บภาษีนำร่อง
ถนนที่มีแนวโน้มสูงว่าจะถูกกำหนดให้เป็นโซนเก็บภาษีรถติด มีดังนี้:
พื้นที่เหล่านี้อยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจที่มีความหนาแน่นของการจราจรสูงที่สุด และมีจำนวนรถเข้าออกเกิน 60,000 คันต่อวัน
โครงสร้างค่าธรรมเนียมและหลักการกำหนดราคา
- ช่วงเริ่มต้น: ค่าผ่านทางอยู่ที่ 40–50 บาท/คัน ในช่วง 5 ปีแรก
- หลัง 5 ปี: ค่าธรรมเนียมอาจเพิ่มขึ้นเป็น 80 บาท/คัน
- เก็บเฉพาะช่วงเวลารถติด: เช่น ช่วงเช้าและเย็น (Peak Hours)
แนวทางการคิดราคานี้จะพิจารณาจาก:
- ระดับความแออัดของแต่ละเส้นทาง
- การมีทางเลือกด้านขนส่งสาธารณะ (เช่น BTS, MRT)
- เป้าหมายการลดมลพิษฝุ่น และลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนตัว
- รายได้จากค่าธรรมเนียมจะนำไปใช้สนับสนุนการลดค่าโดยสารขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า
พื้นฐานแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์
แนวทางนี้อ้างอิงจากหลัก “ผู้ก่อปัญหาต้องรับภาระต้นทุนส่วนเกิน” (Pay for External Cost) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ใช้ในหลายประเทศ:
- คนที่ใช้รถในเวลาที่การจราจรติดขัด ต้องจ่ายค่าผ่านทางที่สะท้อนผลกระทบต่อส่วนรวม เช่น มลพิษ เวลาเดินทางที่สูญเสีย
- เป็นการบริหารดีมานด์ โดยจูงใจให้เปลี่ยนไปใช้ขนส่งมวลชน หรือลดการเดินทางในช่วงเร่งด่วน
- ลดต้นทุนการลงทุนด้านถนนใหม่ ๆ ด้วยการบริหารทรัพยากรเดิมอย่างมีประสิทธิภาพ
- รายได้ที่ได้จะนำกลับมาใช้เพื่อสาธารณะ ไม่ใช่เก็บเข้ารัฐเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบ “ภาษีรถติด”
เมือง/ประเทศ | รายละเอียดสำคัญ | ค่าธรรมเนียมเฉลี่ย |
---|---|---|
สิงคโปร์ | เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1975 และพัฒนาเป็นระบบ ERP ในปี 1998 | คิดตามช่วงเวลารถติด สูงสุด ~2–3 ดอลลาร์สิงคโปร์/ครั้ง |
ลอนดอน (สหราชอาณาจักร) | เริ่มใช้ปี 2003 ในเขตศูนย์กลางธุรกิจ | £15/วัน (เก็บเฉพาะวันทำงานช่วงพีค) |
สตอกโฮล์ม (สวีเดน) | เริ่มใช้จริงปี 2007 หลังทดลอง | SEK 11–35/ครั้ง สูงสุด SEK 105/วัน |
มิลาน (อิตาลี) | ใช้ระบบ “Area C” ในเขตเมืองเก่า | €5/วัน |
นิวยอร์ก (สหรัฐฯ) | มีแผนเริ่มใช้กลางปี 2024 | ~15 ดอลลาร์สหรัฐ/วัน (ตามแผนเบื้องต้น) |
หมายเหตุ: แต่ละประเทศมักกำหนดภาษีตาม “พื้นที่” และ “ช่วงเวลา” โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการลดใช้รถยนต์ส่วนตัว และสนับสนุนระบบขนส่งมวลชน
สรุปภาพรวม
แนวคิดการเก็บภาษีรถติดในไทยอยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษาและประเมินผล โดยโฟกัสไปยังพื้นที่ที่มีปริมาณรถมากที่สุดในกรุงเทพฯ อัตราเริ่มต้นอยู่ที่ 40–50 บาท/คัน ในช่วง 5 ปีแรก โดยรายได้นี้จะนำกลับไปสนับสนุนระบบขนส่งมวลชน เช่น การอุดหนุนค่าโดยสารรถไฟฟ้า เพื่อให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้รถส่วนตัว เป็นระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเมืองมากขึ้น