
เกิดอะไรขึ้น? ย้อนอดีต "รัชกาลที่ 3" โปรดให้ "จับพระสึก" กว่า 500 รูป
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ รัชกาลที่ 3 ทรงเป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ตลอดรัชสมัยของพระองค์ ทรงทุ่มเทในการบำรุงพระศาสนา ทั้งการสร้างวัด สังคายนาพระไตรปิฎก และส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างเป็นระบบ
แต่ขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงเคร่งครัดในวินัยสงฆ์ หากมีพระภิกษุกระทำผิดพระธรรมวินัย ก็ไม่ทรงละเว้นที่จะจัดการ โดยเฉพาะในปีพ.ศ. 2385 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่จารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่า มีการ “จับพระสึก” จำนวนมากกว่าครั้งใดในสมัยรัตนโกสินทร์
ตามบันทึกในพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 3 ทรงโปรดให้ตรวจสอบและชำระความพระสงฆ์ที่ประพฤติไม่เหมาะสมในช่วงเดือน 1 ถึงเดือน 3 ของปีดังกล่าว ผลคือ มีพระที่ถูกจับสึกมากถึงกว่า 500 รูป โดยในจำนวนนั้นยังรวมถึงพระราชาคณะระดับสูงที่ต้องอาบัติปาราชิก
ความผิดของพระภิกษุในครั้งนั้น มีตั้งแต่การประพฤติอนาจาร คือ ความประพฤติที่ไม่เหมาะสมกับสมณเพศ ไปจนถึงความผิดร้ายแรง เช่น ลักทรัพย์ เสพเมถุน หรือแม้แต่การแอบอ้างคุณวิเศษเหนือมนุษย์ ซึ่งล้วนเข้าข่ายอาบัติปาราชิก อันเป็นการต้องสึกโดยถาวร
แม้เหตุการณ์นี้จะเป็นเรื่องอื้อฉาวที่กระทบต่อศรัทธาของพุทธศาสนิกชน แต่ รัชกาลที่ 3 ก็ทรงยึดมั่นในหลักการปฏิรูป ไม่ปล่อยให้พระสงฆ์ที่ละเมิดวินัยอยู่ในผ้าเหลืองต่อไป ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของพระองค์ในการธำรงพระศาสนาให้บริสุทธิ์การจัดระเบียบพระสงฆ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ไม่ได้มีเพียงการลงโทษผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ แบ่งออกเป็น 4 คณะใหญ่ ได้แก่ คณะเหนือ, คณะใต้, คณะกลาง และคณะอรัญวาสี และมีระบบการพิจารณาสมณศักดิ์ตามคุณธรรม, ความรู้ และความสามารถ
ในด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม พระองค์ทรงให้ขยายรูปแบบการศึกษาออกเป็น 4 ขั้น ตั้งแต่เปรียญจัตวา จนถึงเปรียญเอก เพื่อยกระดับความรู้ของพระภิกษุสามเณร และส่งเสริมให้คณะสงฆ์มีบทบาทในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนได้อย่างมีมาตรฐาน
ขณะเดียวกัน พระองค์ยังทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกต่อจากรัชกาลที่ 1 มีการสร้างฉบับใหม่ เช่น ฉบับอักษรรามัญ และฉบับลายกำมะลอ สำหรับแจกจ่ายให้วัดสำคัญต่างๆ ซึ่งถือเป็นการฟื้นฟูและรักษาพระธรรมคำสอนอย่างเป็นรูปธรรม
กระทั่งในวาระใกล้เสด็จสวรรคต รัชกาลที่ 3 ยังทรงแสดงความห่วงใยต่อพระศาสนา โดยทรงมีพระราชปรารภให้สำรองเงินทองในท้องพระคลังเพื่อใช้ในการพระราชกุศลที่ยังค้าง และการปิดทองตกแต่งวัดวาอารามให้สมบูรณ์
เหตุการณ์ “จับพระสึกกว่า 500 รูป” แม้จะเป็นรอยด่างในสายตาผู้คน แต่ในแง่หนึ่งก็สะท้อนความเด็ดขาดของพระมหากษัตริย์ผู้ยึดมั่นในพระธรรม และกล้าหาญพอที่จะปฏิรูปพระศาสนาให้บริสุทธิ์ เข้มแข็ง และเป็นที่พึ่งแก่ประชาชนอย่างแท้จริง