เนื้อหาในหมวด ข่าว

\

"KOL" กับ "Influencer" คืออะไร? เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

ในยุคที่โซเชียลมีเดียกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของคนทั่วโลก คำว่า “KOL” และ “Influencer” กลายเป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในวงการการตลาดดิจิทัล

แต่หลายคนก็ยังสับสนว่า สองคำนี้คือสิ่งเดียวกันหรือเปล่า หรือมีความแตกต่างกันตรงไหนบ้าง?

KOL คืออะไร?

KOL ย่อมาจากคำว่า Key Opinion Leader หมายถึง ผู้นำทางความคิด หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่ง ที่มีความน่าเชื่อถือสูง และมักมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นหรือการตัดสินใจของผู้คนในวงกว้าง เช่น แพทย์ นักโภชนาการ นักวิเคราะห์ หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

KOL มักจะมีช่องทางการสื่อสารของตนเอง เช่น บล็อก ยูทูบ หรือการพูดในงานสัมมนา โดยเนื้อหาที่สื่อสารมักเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีความรู้จริง

influencer-4492841_1280-1

Influencer คืออะไร?

Influencer คือ ผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ ที่สามารถสร้างแรงกระตุ้นให้คนติดตาม เปลี่ยนพฤติกรรม หรือซื้อสินค้าตามสิ่งที่พวกเขานำเสนอ จุดเด่นของ Influencer อยู่ที่บุคลิก การเล่าเรื่อง และความสามารถในการเชื่อมโยงกับผู้ติดตาม

Influencer มีหลายระดับ ตั้งแต่ “ไมโคร” ที่มีผู้ติดตามไม่มาก ไปจนถึงระดับ “แมส” ที่มีผู้ติดตามหลักแสนถึงหลักล้าน

ความเหมือนของ KOL และ Influencer

ทั้ง KOL และ Influencer ต่างก็เป็น ผู้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค และใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เช่น Facebook, Instagram, YouTube หรือ TikTok

b

ความแตกต่างของ KOL และ Influencer

  • พื้นฐานความน่าเชื่อถือ: KOL มีความรู้เฉพาะทาง ส่วน Influencer มีอิทธิพลจากบุคลิกและการสร้างแบรนด์ตัวเอง
  • บทบาทในการตลาด: KOL เหมาะกับสินค้าที่ต้องการภาพลักษณ์วิชาการ เช่น ยา เทคโนโลยี ส่วน Influencer เหมาะกับสินค้าที่เน้นไลฟ์สไตล์
  • วิธีสื่อสาร: KOL ใช้ข้อมูลลึก ส่วน Influencer เน้นความเป็นกันเอง เล่าเรื่องผ่านประสบการณ์

แล้วใครเหมาะกับแบรนด์ของคุณ?

ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแคมเปญ หากต้องการความน่าเชื่อถือสูง ให้เลือก KOL แต่ถ้าอยากเข้าถึงผู้คนจำนวนมากในเชิงไลฟ์สไตล์ Influencer จะตอบโจทย์มากกว่า หรือจะใช้ทั้งสองกลุ่มร่วมกันก็ได้เพื่อเสริมความครบถ้วนของกลยุทธ์

บทสรุป

แม้ KOL และ Influencer จะมีจุดร่วมกันในเรื่องของอิทธิพลต่อผู้คน แต่ต่างก็มีจุดแข็งและบทบาทที่ต่างกันอย่างชัดเจน การเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้แบรนด์เลือกใช้ให้เหมาะสม และสื่อสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ