
นิทานเขมร "พระโค-พระแก้ว" ที่เล่าในโหนกระแส อ่านแล้วเข้าใจทันที ทำไมเขมรชอบ "เคลม"
นิทานเขมร "พระโค-พระแก้ว" ที่เล่าในโหนกระแส อ่านแล้วเข้าใจทันที ทำไมเขมรชอบ "เคลม"
หากใครได้รับชมรายการ “โหนกระแส” ที่พูดถึงข้อพิพาทไทย-กัมพูชาช่วงที่ผ่านมา อาจจะเคยได้ยินชื่อ “นิทานพระโค-พระแก้ว” ที่ชาวกัมพูชายกมาเล่าเป็นสัญลักษณ์แทนความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์ แต่เรื่องราวนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมจึงฝังรากลึกในความเชื่อของชาวเขมร บทความนี้จะพาย้อนกลับไปสำรวจทั้งนิทาน เรื่องเล่า และประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ตำนานพื้นบ้านกัมพูชา: พระโค-พระแก้ว กับการรุกรานของสยาม
นิทานเรื่อง "พระโค-พระแก้ว" เป็นตำนานพื้นบ้านที่เล่าสืบต่อกันในกัมพูชา โดยมีรากฐานมาจากเหตุการณ์ในสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 16–17) เมื่อสยามยกทัพตีเมืองละแวก กวาดต้อนสมบัติและทรัพย์สินมีค่ากลับกรุงศรีอยุธยา
เรื่องย่อของนิทาน
ในเมืองละแวก มีชาวนาคู่หนึ่ง ภรรยาเกิดอุบัติเหตุตกต้นมะม่วงขณะตั้งครรภ์ และให้กำเนิดฝาแฝดผู้พี่เป็นวัวชื่อ “พระโค” ส่วนผู้เป็นคนน้องชื่อ “พระแก้ว”
พระโคมีฤทธิ์มาก เสกหญ้าให้เป็นอาหาร เสกของวิเศษได้ ในนิทานระบุว่าท้องของพระโคเป็นที่เก็บคลังปัญญา เช่น คัมภีร์พระเวท ตำราวิชา และศิลปะวัฒนธรรม
เมื่อเติบโตขึ้น ชื่อเสียงของพระโคและพระแก้วเลื่องลือถึงอยุธยา กษัตริย์สยามจึงส่งทูตมาท้าประลอง 3 ครั้ง สองครั้งแรกพระโคชนะ แต่ครั้งที่สามฝ่ายสยามส่ง “วัวพยนต์” (วัวจักรกล) มาสู้ พระโครู้ว่าต้านไม่ไหวจึงให้พระแก้วกับนางเภา เหาะหนีโดยจับหางวัว
แต่สุดท้ายก็ถูกจับตัวกลับไปอยุธยา ส่วนนางเภาตกลงมาตายกลางทาง สมบัติและภูมิปัญญาทั้งหมดจึงตกเป็นของฝ่ายสยาม
พระโค-พระแก้ว กับการบิดเบือนประวัติศาสตร์
นักวิชาการบางส่วนมองว่านิทานนี้ถูกเผยแพร่ในยุคล่าอาณานิคม โดยมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศส ที่สนับสนุนให้กัมพูชาใช้เรื่องเล่านี้ปลุกกระแสชาตินิยมและสร้างภาพลักษณ์ไทยในฐานะผู้รุกราน
นิทานนี้ยังถูกสอดแทรกในหลักสูตรการศึกษาของกัมพูชา มีการอ้างถึง “การขโมยพระโค-พระแก้ว” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของภูมิปัญญา ส่งผลให้เขมรเสื่อมถอย และสยามรุ่งเรือง
แม้ในเนื้อเรื่องจะไม่มีการระบุว่า "พระแก้ว" คือพระแก้วมรกต แต่ก็มีความเชื่อแพร่หลายในหมู่ชาวเขมรว่าไทยขโมยพระแก้วมรกตไปด้วย
สัญลักษณ์ของการถูกช่วงชิงความรุ่งเรือง
ในท้องพระโคตามนิทาน คือแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ เช่น ตำราวิชา คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหมายถึง “คลังปัญญา” ของกัมพูชา
เหตุการณ์ที่พระโคถูกกวาดต้อนไปจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ว่าความเจริญของไทยมีรากฐานมาจากการปล้นภูมิปัญญาเขมร ขณะเดียวกัน เขมรก็ตกต่ำหลังเสียกรุงละแวก
ความเชื่อเรื่อง "วัวหิน" หน้าวัดพระแก้ว
ยังมีความเชื่อแพร่หลายในกัมพูชาว่า “รูปปั้นวัว” หน้าวัดพระแก้ว (ในไทย) คือพระโคที่ถูกขโมยมา
แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์และศิลปกรรมระบุว่า วัวหินดังกล่าวเป็นงานศิลปะแบบตะวันตก ซึ่งมีการนำเข้ามาตั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีภาพถ่ายในยุคนั้นเป็นหลักฐานยืนยันว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับนิทานหรือนิทานละแวกแต่อย่างใด
การตีความและผลกระทบทางจิตวิทยา
นิทานพระโค-พระแก้ว จึงเป็น “วรรณกรรมสร้างตัวตน” ของชาวกัมพูชา ถูกใช้กระตุ้นอารมณ์ร่วมทางประวัติศาสตร์ และกลายเป็นเครื่องมือในกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ชาติ (nation building) ของกัมพูชา
โดยเฉพาะในช่วงที่มีความตึงเครียด เช่น กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร นิทานเรื่องนี้มักถูกรื้อฟื้นเพื่อกระตุ้นความรู้สึกว่าความรุ่งเรืองของไทยคือสิ่งที่ได้มาจากเขมร
เรื่องเล่ากับความจริงทางประวัติศาสตร์
แม้เนื้อหานิทานจะมีพลังในการสื่อสารเชิงอารมณ์และจิตวิทยาประชาชน แต่เมื่อพิจารณาตามหลักฐานประวัติศาสตร์ ศิลปะ และโบราณคดี กลับไม่สอดคล้องกับข้อกล่าวหาในนิทาน
นิทานพระโค-พระแก้ว จึงเป็นภาพสะท้อนของ “บาดแผลแห่งการเสียเมือง” ของชาวกัมพูชา ที่ยังคงส่งอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ไทย-เขมรในปัจจุบัน