เนื้อหาในหมวด ข่าว

กองทัพรัสเซียวิกฤต ผู้ติดเชื้อ HIV พุ่งพรวด 20 เท่า ความเสียหายร้ายแรงกว่าสงคราม

กองทัพรัสเซียวิกฤต ผู้ติดเชื้อ HIV พุ่งพรวด 20 เท่า ความเสียหายร้ายแรงกว่าสงคราม

วิกฤตกองทัพรัสเซีย ผู้ติดเชื้อ HIV พุ่งพรวด 20 เท่าหลังเกิดสงคราม ความเสียหายรุนแรงต่อเนื่องไปอีกหลายสิบปี

แม้ก่อนการรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 รัสเซียก็มีสถานการณ์โรค HIV ที่ไม่น่าไว้วางใจอยู่แล้ว แต่สงครามเต็มรูปแบบได้ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงอย่างมาก โดยเฉพาะในกองทัพซึ่งมีอัตราการติดเชื้อพุ่งขึ้นกว่า 40 เท่าในปีแรกของสงคราม จากข้อมูลของกระทรวงกลาโหม ความสูญเสียทางประชากรและเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดครั้งนี้อาจสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปอีกหลายทศวรรษ และอาจรุนแรงยิ่งกว่าความเสียหายจากสงครามเสียอีก

1 ล้านคนติดเชื้อตั้งแต่ปี 2016

ในปี 2016 จำนวนผู้ติดเชื้อ HIV ในรัสเซียทะลุ 1 ล้านคน คิดเป็นเกือบ 1% ของประชากรทั้งหมด และราว 1.5–2% ของประชากรวัยทำงาน ยังไม่นับผู้ที่ไม่เคยตรวจเชื้อเลย ทั้งที่ยังสามารถควบคุมโรคได้ หากมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน เช่น การเพิ่มงบประมาณกระทรวงสาธารณสุขและการใช้มาตรการป้องกันที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล แทนที่จะยึดแนวคิดล้าสมัยเกี่ยวกับ “ความมั่นคงทางศีลธรรมของครอบครัว”

การรักษาติดขัดในช่วงสงคราม

ยาต้านไวรัส (ART) สมัยใหม่มีราคาสูง แม้ก่อนสงครามก็มีเพียงบางภูมิภาคที่ร่ำรวยเท่านั้นที่สามารถให้การรักษาอย่างทั่วถึง รัฐบาลพยายามลดต้นทุนด้วยการหันไปใช้ยาชื่อสามัญภายในประเทศ แต่กลับเกิดปัญหายาขาดแคลน และในช่วงสงครามปัญหานี้ก็ยิ่งเลวร้ายลง โดยล่าสุดมีผู้ติดเชื้อในรัสเซียที่ได้รับการรักษาน้อยกว่า 50% เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

องค์กรที่เคยให้การสนับสนุนก็ถูกสั่งห้าม เช่น มูลนิธิ Elton John ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของ NGO ด้าน HIV ถูกประกาศว่าเป็น “องค์กรไม่พึงประสงค์” และผู้มีความหลากหลายทางเพศก็ถูกจัดเป็น “ขบวนการหัวรุนแรง” ยิ่งตอกย้ำตราบาปต่อกลุ่ม LGBT และผู้ติดเชื้อ

แนวรบ = จุดระบาดรุนแรง

สงครามเป็นตัวเร่งการระบาดที่สำคัญ จากสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย การถ่ายเลือด การใช้เข็มฉีดยาซ้ำในแนวหน้า และการขาดแคลนการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื้อกลายพันธุ์และดื้อต่อการรักษาได้ง่าย

แพทย์ทหารรัสเซียยอมรับเองว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในกองทัพเพิ่มขึ้น 5 เท่าในไตรมาสแรกของปี 2022 และพุ่งถึง 40 เท่าในต้นปี 2023 ขณะที่สิ้นปีนั้น อัตราการตรวจพบเชื้อในทหารสูงกว่าก่อนสงครามถึง 20 เท่า

ไม่ใช่แค่จากบาดแผลสงครามเท่านั้น ช่องทางการติดเชื้อเดิมอย่างการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและการใช้ยาเสพติดยังคงแพร่หลายอย่างหนัก โดยเฉพาะในหมู่ทหารที่ใช้ชีวิตอย่างไร้อนาคตและมีรายได้ดีจากการออกรบ

กฎเกณฑ์ทางการแพทย์ถูกละเลย

แม้โดยกฎหมาย ผู้ติดเชื้อ HIV จะไม่สามารถถูกเกณฑ์ทหารได้ แต่ในสนามรบจริง กฎนี้กลับถูกละเลยอย่างสิ้นเชิง ผู้บังคับบัญชาปฏิเสธไม่ให้ทหารที่ติดเชื้อหรือบาดเจ็บกลับหลังแนวหน้า เนื่องจากขาดแคลนกำลังพล

การระบาดสู่ประชาชนทั่วไป

ไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนใดสามารถยืนยันได้ว่าการระบาดนี้จำกัดอยู่ในหมู่ทหาร เพราะกลุ่มที่ต้องตรวจ HIV เป็นประจำ ได้แก่ ทหาร หญิงตั้งครรภ์ ผู้อพยพ และบางอาชีพ เช่น นักบิน เชฟ แต่คนทั่วไปส่วนใหญ่ไม่มีการตรวจ

สื่อท้องถิ่นรายงานว่าใน 14 แคว้นของรัสเซีย มีหญิงตั้งครรภ์ที่ตรวจพบ HIV เกิน 1% อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งตามเกณฑ์ WHO ถือว่าเข้าสู่ “การระบาดทั่วไป” คือไม่สามารถจำกัดกลุ่มเสี่ยงได้อีกต่อไป

รัสเซียติดอันดับโลกในการแพร่ระบาด

ข้อมูลของ UNAIDS ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2022 รัสเซียติดอันดับ 5 ของโลกในด้านจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ โดยคิดเป็น 3.9% ของทั้งหมด ขณะที่แอฟริกาใต้ โมซัมบิก ไนจีเรีย และอินเดียมีตัวเลขสูงกว่า แต่มีประชากรมากกว่ารัสเซียมาก

ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกสามารถควบคุมโรคได้แล้ว รัสเซียกลับยังพบผู้ติดเชื้อใหม่ปีละ 50,000-100,000 ราย

ทั่วโลกดีขึ้น ยกเว้นรัสเซีย

ในสหรัฐอเมริกา วัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อได้กว่า 90% เป็นเวลา 6 เดือนเพิ่งผ่านการทดลองทางคลินิกขั้นสุดท้าย และยังมียาฉีด ART รุ่นที่ 4 ซึ่งช่วยให้ผู้ติดเชื้อไม่ต้องกินยาทุกวัน

เป้าหมายของ WHO อย่าง “90-90-90” ที่ว่า 90% ของผู้ติดเชื้อรู้สถานะตัวเอง 90% ของคนเหล่านั้นได้รับการรักษา และ 90% ของผู้รักษาตอบสนองต่อยา สามารถยุติการแพร่เชื้อได้เกือบทั้งหมด

แต่ในรัสเซีย การเมืองยังคงขัดขวางการควบคุมโรค รัฐบาลยังคงแบนการบำบัดด้วยยาเมทาโดนสำหรับผู้ติดยา แม้ WHO จะรับรองว่าช่วยลดอันตรายจากการติดเชื้อ HIV ได้ และยังห้ามการเรียนเพศศึกษาในโรงเรียนด้วย

ผลกระทบยาวนานหลายทศวรรษ

ผู้ติดเชื้อ HIV จากสงครามยูเครนจำเป็นต้องได้รับการรักษาไปตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่เพื่อช่วยชีวิตตนเอง แต่เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น นี่จะกลายเป็นภาระของงบประมาณรัฐ ระบบสาธารณสุข และตลาดแรงงานในรัสเซียไปจนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 21 ยาวนานกว่าการสิ้นสุดของสงคราม หรือแม้แต่การสิ้นสุดของยุคปูตินเอง