หญิงใจบุญสละไตให้เจ้านาย แต่กลับถูกไล่ออกเพราะปัญหาสุขภาพ เปิดบทสรุปของคดี
หญิงใจบุญสละไตให้เจ้านาย แต่กลับถูกไล่ออกเพราะถูกมองว่า “สุขภาพไม่แข็งแรงทำงานไม่ไหว” บทสรุปของคดีสะเทือนสังคมจะเป็นเช่นไร?
เพียงไม่กี่เดือนหลังการผ่าตัดสละไตเพื่อช่วยชีวิตเจ้านาย เธอกลับถูกไล่ออก
ย้อนกลับไปปี 2012 เรื่องราวชวนช็อกนี้กลายเป็นข่าวดังไปทั่วสหรัฐอเมริกา และถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางบนโซเชียลมีเดีย "เด็บบี สตีเวนส์" พนักงานผู้ขยันขันแข็ง ยอมบริจาคไตให้เจ้านายเพื่อช่วยชีวิตเขา แต่เพียงไม่กี่เดือนหลังการผ่าตัด เธอกลับถูกเลิกจ้าง
กรณีนี้ได้จุดกระแสความโกรธแค้นในสังคมอย่างรุนแรง และจนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวของผู้หญิงที่ถูกไล่ออกเพราะ “สุขภาพไม่แข็งแรงพอทำงาน” หลังสละไต ยังคงถูกพูดถึงและแชร์ต่ออย่างไม่รู้จบ
แล้วความจริงเบื้องหลังคดีสะเทือนขวัญนี้คืออะไร? และบทสรุปสุดท้ายจะเป็นเช่นไร?
น้ำใจอันสูงส่งกับชะตากรรมที่ไม่คาดคิด
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี 2010 เมื่อเด็บบี สตีเวนส์ พนักงานบริษัท Atlantic Automotive Group ที่ลองไอส์แลนด์ ทราบข่าวว่าเจ้านายของเธอ แจ็กเกอลีน บรูเซีย กำลังมองหาผู้บริจาคไต ด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา สตีเวนส์จึงอาสาช่วยเหลือ และข้อเสนอนี้ก็ได้รับการตอบรับ
แม้ว่าเธอจะไม่สามารถบริจาคไตให้บรูเซียโดยตรงได้ แต่สตีเวนส์ก็ยินดีเข้าร่วม “การแลกเปลี่ยนไตแบบเป็นเครือข่าย” โดยเธอได้ผ่าตัดในเดือนสิงหาคม ปี 2011 มอบไตหนึ่งข้างให้กับคนแปลกหน้า เพื่อเปิดโอกาสให้บรูเซียได้รับไตที่เหมาะสมยิ่งกว่าจากผู้บริจาครายอื่น
ทว่า หลังการผ่าตัด สตีเวนส์ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพตามมา ทั้งอาการปวดท้อง ความผิดปกติด้านการย่อยอาหาร และความลำบากในการยกของหนัก ตามคำฟ้องของทนายความ
เมื่อเธอกลับมาทำงานในเดือนกันยายนปีเดียวกัน นางบรูเซียกลับแสดงท่าทีเย็นชา และไม่ยอมปรับสภาพการทำงานให้เหมาะกับสุขภาพของเธอ บรูเซียยังถูกกล่าวหาว่าละเลยคำแนะนำจากแพทย์ บังคับให้สตีเวนส์ทำงานหนักเช่นเดิม และแม้แต่การเข้าห้องน้ำก็ยังต้องขออนุญาตทุกครั้ง
คดีความและบทสรุปที่ยังคงเป็นปริศนา
หลังจากยื่นเรื่องร้องเรียนหลายครั้งเกี่ยวกับพฤติกรรมกดดันและกลั่นแกล้งจากเจ้านาย สตีเวนส์ถูกย้ายไปทำงานที่ดีลเลอร์อีกแห่งในเครือเดียวกัน ทว่าที่ใหม่ก็ยังคงปฏิเสธการจัดสภาพการทำงานให้เหมาะกับสุขภาพของเธอ และยังส่งเธอไปทำงานในตำแหน่งที่ไม่มีประสบการณ์เลย
สุดท้ายในเดือนเมษายน ปี 2012 เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังทนายของเธอยื่นคำร้องต่อบริษัท Atlantic Automotive Group ก็ตัดสินใจเลิกจ้างเธอ โดยให้เหตุผลว่า “ประสิทธิภาพการทำงานต่ำ”
สตีเวนส์มองว่าตนถูกไล่ออกเพราะผลกระทบทางสุขภาพจากการสละไต จึงยื่นฟ้องบริษัท Atlantic Automotive Group และอดีตเจ้านายของเธอ คดีนี้กลายเป็นที่สนใจของสังคม หลายคนเชื่อว่าสตีเวนส์คือเหยื่อของความเนรคุณ และการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากบริษัท

ในปี 2014 หลังจากผ่านการไต่สวนหลายครั้งและกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งสองฝ่ายก็ตัดสินใจยุติเรื่องด้วยการทำข้อตกลงนอกศาล
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขของข้อตกลงไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ทำให้ประเด็นที่ว่าสตีเวนส์ถูกไล่ออกเพราะ “ใช้เวลาฟื้นตัวนานเกินไป” หรือเพราะความต้องการด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัดนั้น ไม่เคยได้รับการยืนยันจากบริษัทเลย
แม้ศาลจะไม่ได้มีคำพิพากษาชี้ขาด แต่หน่วยงานรัฐก็ได้แสดงท่าทีที่น่าสนใจ โดยคณะกรรมการโอกาสการจ้างงานที่เท่าเทียมแห่งสหรัฐฯ (EEOC) ได้ออก “จดหมายสิทธิในการฟ้องร้อง” ให้แก่สตีเวนส์ ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยผู้พิการของสหรัฐฯ (ADA)
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า EEOC พบ “เหตุผลอันสมควร” ที่จะเชื่อว่ามีการละเมิดกฎหมาย ADA เกิดขึ้น นี่จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยเสริมข้ออ้างของสตีเวนส์ว่า เธอตกเป็นเหยื่อของการเลือกปฏิบัติเนื่องจากปัญหาสุขภาพของตนเอง
แม้เรื่องราวของสตีเวนส์จะปิดฉากลงด้วยข้อตกลงลับ แต่ก็ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลัง และจุดประกายการถกเถียงกว้างขวางเกี่ยวกับสิทธิของผู้บริจาคอวัยวะ ตลอดจนความรับผิดชอบที่บริษัทควรมีต่อพนักงานของตน