"โค้ก vs เป๊ปซี่" จุดกำเนิด ส่วนผสม รสชาติ และความนิยม แตกต่างกันอย่างไร?
โค้ก vs เป๊ปซี่ แตกต่างกันอย่างไจุดกำเนิด
โค้ก
กำเนิดขึ้นในปีค.ศ. 1886 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา โดยเภสัชกรชื่อ จอห์น เพมเบอร์ตัน (John Pemberton) ในตอนแรกถูกคิดค้นขึ้นเป็นยาสำหรับบรรเทาอาการปวดหัวและอ่อนเพลีย ก่อนจะพัฒนามาเป็นน้ำอัดลมในเวลาต่อมา
เป๊ปซี่
ถือกำเนิดในปีค.ศ. 1893 ที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา โดย เคเล็บ แบรดแฮม (Caleb Bradham) เภสัชกรเช่นเดียวกัน ตอนแรกมีชื่อว่า Brad’s Drink ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น “Pepsi-Cola” ในปี 1898 โดยตั้งชื่อตามคำว่า Pepsin เอนไซม์ช่วยย่อย

ส่วนผสม
แม้ทั้งสองแบรนด์จะมีสูตรลับที่ไม่เปิดเผย แต่ส่วนผสมหลักมีความคล้ายคลึงกัน คือ น้ำอัดลมที่มี น้ำตาล, คาเฟอีน, คาราเมล, กรดฟอสฟอริก และ สารแต่งรส
จุดต่างเล็กน้อยอยู่ที่ สัดส่วนของน้ำตาลและกลิ่นแต่งรส ที่ทำให้รสสัมผัสของทั้งคู่ไม่เหมือนกัน
รสชาติ
โค้ก: รสชาติออกไปทางหวานซ่า สดชื่น แต่มีความนุ่มนวล กลิ่นวานิลลาและคาราเมลชัดเจน เหมาะกับคนที่ชอบความ “ละมุน” เวลาดื่ม
เป๊ปซี่: รสชาติจะหวานจัดกว่า สดชื่นฉับไว และให้ความรู้สึกซ่ามากกว่าเล็กน้อย จึงถูกใจคนที่ชอบรสหวานคมและดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นทันที

กลยุทธ์การตลาดและความนิยม
โค้ก: วางตัวเป็นแบรนด์ที่สื่อถึง ความสุข ความสดชื่น และความเป็นครอบครัว ใช้สัญลักษณ์สีแดง-ขาว และโฆษณาเชิงอารมณ์ เช่น “Open Happiness” ทำให้ครองใจผู้คนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
เป๊ปซี่: เจาะกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ เน้นภาพลักษณ์ความ ทันสมัย มีพลัง และเชื่อมโยงกับดนตรี กีฬา เช่น แคมเปญกับศิลปินดังระดับโลก
ความนิยมในปัจจุบัน
โค้ก ยังครองตำแหน่งเบอร์หนึ่งของโลก ทั้งในแง่ยอดขายและการจดจำแบรนด์ ในปี 2024 มีมูลค่าตลาด 266.173 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
เป๊ปซี่ แม้จะเป็นรอง แต่ก็ยังครองตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและบางภูมิภาค พร้อมสร้างฐานแฟนเหนียวแน่นในกลุ่มวัยรุ่น ในปี 2024 มีมูลค่าตลาด 241.386 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจุบันทั้งสองยังแข่งขันกันในด้านนวัตกรรม เช่น เครื่องดื่มน้ำตาลน้อย, ไม่มีน้ำตาล (Zero/Max) และรสชาติใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

บทสรุป
แม้โค้กและเป๊ปซี่จะเป็นน้ำอัดลมโคล่าที่ดูคล้ายกัน แต่ก็มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
โค้ก โดดเด่นที่ความละมุนและภาพลักษณ์ครอบครัว ส่วน เป๊ปซี่ เน้นความหวานจัด ซ่า และความเป็นแบรนด์ของคนรุ่นใหม่
สุดท้ายแล้วจะชอบแก้วไหนก็ขึ้นอยู่กับ “รสนิยมส่วนตัว” ของผู้ดื่มนั่นเอง
