เนื้อหาในหมวด ข่าว

ตำรวจจับนักเรียนชายวัย 13 ส่งกลับกัมพูชา กสม.แถลงแล้ว ชี้ขัดสิทธิเด็ก-กฎหมาย

ตำรวจจับนักเรียนชายวัย 13 ส่งกลับกัมพูชา กสม.แถลงแล้ว ชี้ขัดสิทธิเด็ก-กฎหมาย

ตำรวจจับเด็กชายวัย 13 ส่งกลับกัมพูชา กสม.แถลงแล้ว ชี้ขัดสิทธิเด็ก-กฎหมาย ขอทุกฝ่ายคำนึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นที่ตั้ง

กลายเป็นกรณีวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อ นักเรียนชายวัย 13 ปี ถูก ตำรวจเข้าจับกุมตัวหลังเคารพธงชาติ ต้องเปลี่ยนชุดจากชุดลูกเสือเป็นชุดไปรเวท เพื่อเตรียมส่งตัวกลับประเทศกัมพูชา โดยถูกแจ้งความในข้อกล่าวหา เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต

แม้นักเรียนชายคนดังกล่าว จะมีแม่เป็นชาวกัมพูชา แต่ก็มาอยู่ในไทยตั้งแต่เด็กๆ ไม่เคยกลับเข้าไปที่กัมพูชา เติบโตและใช้ชีวิตที่ไทยตั้งแต่จำความได้ จนปัจจุบันอายุ 13 ปี ไม่สามารถอ่าน-เขียนภาษากัมพูชาได้

แถลงการณ์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)

เรื่อง เน้นย้ำหลักการประโยชน์สูงสุดของเด็ก กรณีตำรวจเข้าจับกุมนักเรียนรหัส G เพื่อส่งกลับกัมพูชา

ตามที่ปรากฏข่าวกรณีครูเล่าถึงเหตุการณ์ที่นักเรียนชายวัย 13 ปี ซึ่งศึกษาอยู่ ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำรถเข้าไปจับตัวในโรงเรียน ด้วยข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและพำนักอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และเตรียมส่งตัวกลับไปยังประเทศกัมพูชา ทั้ง ๆ ที่เด็กได้รับการกำหนดรหัสประจำตัวนักเรียนรหัส G ซึ่งเป็นรหัสที่กำหนดให้แก่เด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย สามารถเข้าสู่ระบบการศึกษาของไทยได้

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ขอเน้นย้ำว่าอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม มีหลักการสำคัญระบุให้การดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ไม่ว่าจะกระทำโดยสถาบันทางสังคม หรือองค์กรใด ผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก และรัฐภาคีต้องยอมรับสิทธิของเด็กที่จะได้รับการศึกษาบนพื้นฐานของโอกาสที่เท่าเทียมกัน

กสม. เห็นว่า กรณีการจับกุมเด็กนักเรียนชายรายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักสิทธิเด็กและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เนื่องด้วยเป็นการจับกุมที่ไม่มีหมายจับ ไม่มีเหตุแห่งการกระทำความผิดซึ่งหน้า เด็กมีสถานะเป็นเพียงผู้ติดตามมารดาเข้าเมืองมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กและไม่มีเจตนาหลบหนี อีกทั้งการเข้าไปจับกุมเด็กในพื้นที่โรงเรียนอาจสร้างบาดแผลทางจิตใจให้แก่เด็กได้ในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น การส่งตัวกลับประเทศต้นทางในทันทีอาจทำให้เด็กนักเรียนชายรายดังกล่าวซึ่งไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาประเทศบ้านเกิดได้ เสียสิทธิ ขาดโอกาสและความต่อเนื่องในการได้รับการศึกษาโดยสิ้นเชิง

จากกรณีข้างต้น กสม. จึงขอเน้นย้ำหลักการสิทธิเด็กด้วยความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง ขอให้การดำเนินการใด ๆ ของทุกฝ่ายคำนึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นที่ตั้ง โดยไม่ควรมีกรณีการจับกุมเด็กต่างชาติในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ กสม. ขอให้สังคมร่วมกันยุติการสร้างความเกลียดชังด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติในทุกรูปแบบเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมที่พึ่งพาอาศัยกันได้อย่างสันติ

พม.คุ้มครองเด็ก-มารดา

นายวราวุธ  ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเด็กนักเรียนชายอายุ 13 ปี อาศัยอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับกุมและควบคุมตัวไว้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกาบเชิง ว่า กรณีดังกล่าวตนได้รับทราบข่าวจึงได้ประสานไปยังศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) จังหวัดสุรินทร์ และทีม พม.หนึ่งเดียวจังหวัดสุรินทร์ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) เจ้าหน้าที่จึงได้ลงพื้นที่ และทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ โดยประสานงานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อขอรับเด็กและมารดาเข้ารับการสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพที่บ้านพักเด็กและครอบครัว (บพด.) จังหวัดสุรินทร์ เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งจากนี้ไป ต้องเป็นการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า จะมีการดำเนินการในลักษณะใด แต่ในมิติของกระทรวง พม. จะต้องส่งเสริมให้เด็กได้รับการศึกษาและจัดที่พักอาศัยให้ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) มาตรา 22 ด้วยการดูแลเด็กไม่ว่าจะสัญชาติหรือเชื้อชาติใด ถ้าอาศัยอยู่ในประเทศไทย จะต้องได้รับการคุ้มครอง ทั้งสิทธิและสวัสดิภาพ  

อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ากระทรวง พม. ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการให้สัญชาติกับใคร โดยบริบทของกระทรวง พม. ที่ทำได้นั้น คือการเชิญตัวเด็กและมารดามาเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ 2546 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) มาตรา 22 ด้วยการดูแลเด็กไม่ว่าจะสัญชาติหรือเชื้อชาติใด ถ้าอาศัยอยู่ในประเทศไทย จะต้องได้รับการคุ้มครอง ทั้งสิทธิและสวัสดิภาพ    

ส่วนกรณีการพิสูจน์สัญชาติ ว่ามารดามีการเข้าเมืองมาอย่างไร เด็กมีสัญชาติใด คงจะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ เนื่องจากกระทรวง พม. ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการที่จะเข้าไปตรวจสอบแต่ระหว่างอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบนั้นเด็กและมารดาจะอยู่ภายใต้การดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพของกระทรวง พม.