เนื้อหาในหมวด ข่าว

ชะตากรรมเศร้า \

ชะตากรรมเศร้า "นางในฝันยุคแจ๊ซ" ผู้กล้าท้าทายขนบอเมริกา โศกนาฏกรรมที่โลกเกือบลืม!

ชีวิตสุดเศร้าของหญิงสาวผู้เคยถูกขนานนามว่า "งามที่สุดในอเมริกา" เธอบุกเบิกและท้าทายมาตรฐานของยุคสมัย แต่กลับจบลงด้วยโศกนาฏกรรมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

เซลดา แซร์ ฟิตซ์เจอรัลด์ (Zelda Sayre Fitzgerald) เคยเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยใหม่ ผู้หญิงที่มีความงามเป็นเอกลักษณ์ สติปัญญาเฉียบคม และทัศนคติที่กล้าท้าทายขนบ แต่สุดท้ายชีวิตของเธอกลับจบลงด้วยโศกนาฏกรรมท่ามกลางความเจ็บปวดที่ไม่มีวันคลี่คลาย

นางในฝันของอเมริกา กับรักครั้งใหญ่ในยุคแจ๊ซ

เซลดา เกิดเมื่อปี 1900 ที่เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐแอละบามา ในครอบครัวชนชั้นสูง พ่อของเธอเป็นผู้พิพากษาศาลสูง เธอเป็นหญิงสาวสวยที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ความฝัน และพรสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นบัลเลต์ วาดภาพ หรือการเขียนหนังสือ

ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับ เอฟ. สก็อตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ นายทหารหนุ่มผู้มีความฝันอยากเป็นนักเขียน ทั้งสองตกหลุมรักและแต่งงานกันหลังจากที่นิยาย This Side of Paradise ของเขาได้รับการตีพิมพ์

ชีวิตหลังแต่งงานของทั้งคู่คือจุดเริ่มต้นของยุคสมัย “แจ๊ซ” พวกเขากลายเป็นคู่รักที่โลดแล่นในแวดวงสังคม นิวยอร์กในยุคนั้นแทบไม่มีงานสังสรรค์ใดที่ขาดชื่อของเซลดาและสก็อตต์ได้ เซลดากลายเป็นตัวแทนของหญิงสาวยุคใหม่ หรือที่เรียกว่า "flapper" ด้วยลุคที่โดดเด่นและแนวคิดที่เป็นอิสระ เธอยังเป็นแรงบันดาลใจหลักให้กับตัวละครหญิงในนิยายของสามี ไม่ว่าจะเป็น โรซาลินด์ ใน This Side of Paradise หรือ เดซี บูคานัน ใน The Great Gatsby

เมื่อแรงบันดาลใจกลายเป็นเครื่องมือ

แม้จะเป็นคู่รักในฝัน แต่ชีวิตของเซลดาก็เต็มไปด้วยรอยร้าว เธอกลายเป็นเหมือนเงาของสามีในสายตาคนทั่วไป สก็อตต์นำบทสนทนา จดหมาย และบันทึกส่วนตัวของเซลดาไปใช้ในงานเขียน โดยไม่ให้เครดิตหรือคำขออนุญาต

เซลดาเริ่มรู้สึกว่าเธอเป็นเพียง "ภาพประกอบในเรื่องราวของสามี" เธอจึงหันกลับมาแสดงออกในแบบของตัวเอง ทั้งการฝึกบัลเลต์อย่างหนักถึงวันละ 8 ชั่วโมง การเขียนเรื่องสั้น และวาดภาพ แต่น่าเศร้าที่ความพยายามของเธอกลับถูกเมินเฉย และมักถูกเปรียบเทียบกับสามีอย่างไม่เป็นธรรม

จิตใจที่บอบช้ำและชีวิตที่แตกสลาย

การใช้ชีวิตอย่างไร้ขอบเขต เต็มไปด้วยงานเลี้ยง การทะเลาะเบาะแว้ง และปัญหาทางการเงิน ทำให้ทั้งคู่เริ่มแตกแยก เซลดามีอาการป่วยทางจิตอย่างรุนแรงในปี 1930 และถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภท

เธอต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวช และใช้เวลาหลายปีต่อมาท่ามกลางความโดดเดี่ยว แม้จะยังพยายามเขียนหนังสือและวาดภาพ แต่เสียงของเธอกลับเงียบงันในสังคม

เซลดาเขียนนิยายอัตชีวประวัติชื่อ Save Me the Waltz ซึ่งตีพิมพ์ก่อนที่สก็อตต์จะออกผลงานสุดท้ายของเขา อย่างไรก็ตาม หนังสือของเธอกลับไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร เนื่องจากผู้คนยังมองเธอในฐานะ “ภรรยาของนักเขียน” มากกว่าตัวตนที่แท้จริง

จุดจบที่เศร้า และชื่อเสียงที่คืนกลับหลังความตาย

เซลดาเสียชีวิตในเหตุไฟไหม้ที่โรงพยาบาลไฮแลนด์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา ในปี 1948 ขณะอายุ 47 ปี ชีวิตของเธอจบลงอย่างเงียบงัน ตรงข้ามกับความเจิดจ้าของวันวาน

หลายสิบปีต่อมา เมื่อกระแส สิทธิสตรี เริ่มเฟื่องฟู โลกจึงหันกลับมามองเซลดาใหม่อีกครั้ง เธอไม่ได้เป็นเพียง “นางในฝัน” ของนักเขียน แต่คือศิลปินที่มีหัวใจและความเจ็บปวดของตัวเอง

เรื่องราวของเซลดา ฟิตซ์เจอรัลด์ จึงไม่ใช่แค่โศกนาฏกรรมของหญิงสาวงาม แต่คือคำเตือนถึงราคาของชื่อเสียง และความเงียบที่ผู้หญิงหลายคนต้องทนในเงามืดของผู้ชาย โดยเฉพาะในยุคที่ความคิดสร้างสรรค์ของผู้หญิงยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง

ในท้ายที่สุด เซลดาไม่ได้เป็นเพียง "หญิงงามผู้มีชีวิตเศร้า" แต่เป็นศิลปินตัวจริง ที่โลกเพิ่งเริ่มเข้าใจเมื่อสายเกินไป