เนื้อหาในหมวด ข่าว

MOU กับ MOA คืออะไร? เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

MOU กับ MOA คืออะไร? เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

เวลาที่องค์กรจะร่วมมือกัน มักมีเอกสารขึ้นมา 2 ชนิดที่เจอบ่อยคือ MOU และ MOA ที่เรามักเห็นตามเนื้อข่าว

แต่ทั้ง 2 แบบคืออะไร? ต้องเลือกใช้แบบไหน? บทความนี้สรุปให้ชัดในภาษาง่ายๆ พร้อมตัวอย่างจริง จบในหน้าเดียว เหมาะสำหรับผู้บริหาร นักศึกษา และผู้ทำสัญญาร่วมงาน

ทั้ง 2 อย่างคืออะไร?

MOU (Memorandum of Understanding) = บันทึกความเข้าใจแบบกว้าง พูดถึงเจตนาร่วมมือ แต่มักไม่ผูกพันทางกฎหมาย (non-binding)

ในขณะที่ MOA (Memorandum of Agreement) = บันทึกข้อตกลงที่มีรายละเอียดหน้าที่ เงื่อนไข และมักมีผลผูกพันมากกว่า (binding)

สรุปคือ MOU คือ “จับมือ” ส่วน MOA คือ “ลงนามเป็นข้อตกลงที่ชัดเจน”

56800

ความหมายเชิงปฏิบัติ

MOU — Memorandum of Understanding

เป็นเอกสารที่แสดงเจตนาร่วมกันของฝ่ายต่างๆ โดยทั่วไปจะระบุขอบเขตความร่วมมือ, วัตถุประสงค์ และทิศทาง แต่ไม่ค่อยลงรายละเอียดเรื่องผลประโยชน์หรือความรับผิดชอบเชิงกฎหมาย เหมาะสำหรับจุดเริ่มต้นของการพูดคุยหรือความร่วมมือเชิงนโยบาย

MOA — Memorandum of Agreement

เป็นเอกสารที่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับหน้าที่, ข้อผูกมัด, เงื่อนไข, ระยะเวลา, งบประมาณ หรือการแบ่งผลประโยชน์ จึงมีน้ำหนักทางกฎหมายมากกว่า และถ้าทั้งสองฝ่ายระบุให้เป็นสัญญา ก็จะสามารถบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย

เปรียบเทียบแบบตาราง (อ่านเร็ว)

ประเด็น MOU MOA
คำเต็ม (อังกฤษ) Memorandum of Understanding Memorandum of Agreement
ลักษณะโดยรวม บันทึกความเข้าใจ, กว้าง ข้อตกลงที่ชัดเจน, ลงรายละเอียด
ผลผูกพันทางกฎหมาย มักไม่ผูกพัน (non-binding) มักผูกพัน/เป็นสัญญา (binding)
เมื่อใช้ เริ่มเจรจา ประกาศเจตนา ประสานงาน กำหนดหน้าที่ เงิน/ทรัพยากร เงื่อนไขการยุติ
ตัวอย่าง มหาวิทยาลัยแลกเปลี่ยนนักศึกษา บริษัทร่วมลงทุน กำหนดสัดส่วนกำไร/ความรับผิดชอบ

laptop-3196481_1920-848x565

ตัวอย่างสถานการณ์ใช้งานจริง

กรณีมหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัย (MOU): ลงนามแสดงความสมัครใจร่วมกันด้านการวิจัยและแลกเปลี่ยนนักศึกษา แต่ยังไม่กำหนดงบหรือตารางเวลาที่แน่นอน

กรณีบริษัทสองแห่งร่วมผลิตสินค้า (MOA): ร่าง MOA ระบุสัดส่วนการลงทุน ระดับความรับผิดชอบในกระบวนการผลิต การแบ่งรายได้ และเงื่อนไขการเลิกสัญญา ทั้งสองฝ่ายผูกพันตามข้อกำหนด

ข้อควรระวังเมื่อจัดทำเอกสาร

  • อย่าเรียก MOU ว่า “ไม่ผูกพันเสมอไป” หากภาษาที่ใช้มีเงื่อนไขชี้ชัด อาจกลายเป็นผูกพันได้ ตรวจถ้อยคำให้รัดกุม
  • หากต้องการผลทางกฎหมายจริงๆ ให้ใช้ MOA หรือสัญญา แล้วระบุเงื่อนไขการบังคับใช้ให้ชัดเจน
  • ขอคำปรึกษาทางกฎหมายเมื่อมีเรื่องงบประมาณ ความเสี่ยง หรือบทลงโทษทางการเงิน
แนะนำ: ก่อนลงนาม ให้ตรวจว่าเอกสารนั้นต้องการเพียงแค่แสดงเจตนา หรือจำเป็นต้องผูกพันทางกฎหมาย หากเป็นเรื่องเงิน/ทรัพยากร/ความเสี่ยงสูง ควรจัดทำ MOA หรือสัญญาที่มีคำศัพท์ทางกฎหมายชัดเจน และปรึกษาทนายความ

บทสรุป

MOU คือแผนที่หรือกรอบความเข้าใจที่บอกว่า “เราจะร่วมกันไปทางนี้” แต่ไม่ได้บังคับว่าต้องทำตามทั้งหมด

ขณะที่ MOA คือสัญญาระบุเส้นทางที่ชัดเจน ใครทำอะไร เมื่อไหร่ รับผิดชอบอย่างไร และมีผลตามกฎหมายเมื่อเกิดปัญหา

การรู้ความต่างช่วยให้เราเลือกเอกสารให้เหมาะกับสถานการณ์ ลดความเสี่ยง และป้องกันข้อพิพาทในอนาคต