4 ปลาที่ "สมองชอบ" เสริมความจำ-การเรียนรู้ดีขึ้นแน่นอน แต่มี 2 ชนิด ที่ไม่ควรให้เด็กกิน!
4 ชนิดปลาที่ดีต่อสมองเด็ก เสริมความจำ พัฒนาการเรียนรู้ พร้อมเตือนปลา 2 ชนิดที่ไม่ควรให้ลูกกิน!
สำหรับเด็กที่อยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต การกินปลาเป็นประจำถือเป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากจะช่วยพัฒนาระบบประสาทและสมองแล้ว ยังช่วยบำรุงสายตาอีกด้วย
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “กินปลาแล้วฉลาด” ซึ่งไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า DHA ในปลาถือเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยพัฒนาสมอง และเสริมความจำของเด็กได้โดยตรง
แต่ในบรรดาปลาหลากหลายชนิดที่วางขายในท้องตลาด เราควรเลือกแบบไหนให้ลูกกิน? นี่คือ 4 ชนิดปลาที่เหมาะที่สุดสำหรับเด็ก พร้อมเมนูแนะนำที่ทำง่าย และอร่อยถูกปาก
1. ปลาแซลมอน: แหล่ง DHA ชั้นยอด
ปลาแซลมอนขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดปลาบำรุงสมอง มี DHA สูงที่สุดในบรรดาปลาทะเลลึก โดยมีประมาณ 1.2 กรัมต่อเนื้อปลา 100 กรัม ซึ่งมากกว่าปลาน้ำจืดทั่วไปหลายเท่า DHA มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมองและจอประสาทตา ช่วยเพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของเด็ก
2. ปลากะพง: ปลาน้ำจืดที่อุดมด้วย DHA
ปลากะพง หรือที่บางพื้นที่เรียกว่าปลาช่อนทะเล ถือเป็นปลาน้ำจืดที่มี DHA สูง โดยมีสัดส่วนต่อกรดไขมันรวมอยู่ที่ 18.6% ถึง 20.1% ซึ่งมากกว่าปลาทะเลบางชนิดด้วยซ้ำ เนื้อปลานุ่ม ก้างน้อย เหมาะกับเด็กเล็ก งานวิจัยยังพบว่าเด็กที่กินปลากะพงเป็นประจำ มักมีพัฒนาการทางสติปัญญาดีขึ้น
3. ปลาค็อด: โปรตีนสูง ไขมันต่ำ ดีต่อสมอง
ปลาค็อดเป็นปลายอดนิยมในครัวเรือนฝรั่ง โดยเฉพาะสำหรับเด็ก เพราะมีโปรตีนสูงถึง 20% แต่ไขมันเพียง 0.5% เท่านั้น แถมยังอุดมด้วยวิตามินเอ, วิตามินดี และแคลเซียม เหมาะกับเด็กที่ต้องควบคุมน้ำหนัก และช่วยพัฒนาสมองโดยไม่ทำให้อ้วน
4. ปลาจวด: ปลาราคาประหยัดที่มี DHA ไม่น้อย
ปลาจวดเป็นปลาทะเลราคาย่อมเยา แต่กลับมี DHA สูงพอๆ กับปลาชนิดแพงๆ โดยมีประมาณ 0.3 กรัมต่อ 100 กรัม นอกจากนี้ยังอุดมด้วยเลซิติน ซึ่งช่วยส่งเสริมความจำ เนื้อปลาจวดหนา นุ่ม ก้างน้อย เด็กๆ จึงมักชอบ
- รู้ตัวหรือยัง? "ถั่วดำ" อร่อยและดี แต่เป็นอาหาร "ต้องห้าม" สำหรับคน 4 กลุ่มนี้ ไม่กินดีกว่า!!!
- ไทยมีครบ! แพทย์ไต้หวัน แนะให้ดื่ม 5 น้ำ "ศัตรูโรคไต" ไม่ใช่แค่ชาเขียว-มะนาว-กาแฟ
DHA ไม่ใช่คำตอบเดียวของสมองเด็ก
แม้ว่า DHA จะสำคัญต่อสมอง ระบบประสาท และสายตา แต่การพัฒนาสมองของเด็กต้องอาศัยสารอาหารอื่นร่วมด้วย เช่น ธาตุเหล็กช่วยเสริมความจำ เพิ่มสมาธิ, สังกะสีช่วยบำรุงสมองและสายตา รวมถึงไอโอดีนและโปรตีนที่มีบทบาทต่อการเติบโตโดยรวม
ปริมาณปลาที่แนะนำในแต่ละช่วงวัย
- เด็ก 2-3 ปี: ควรกินปลาวันละ 15-20 กรัม สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
- เด็ก 4-6 ปี: วันละ 20-40 กรัม สัปดาห์ละ 3-5.5 ครั้ง
- เด็ก 7-10 ปี และวัยรุ่น: วันละ 40 กรัม สัปดาห์ละ 5.5 ครั้ง
การกินปลามากเกินไปอาจเพิ่มภาระการเผาผลาญให้กับกระเพาะอาหาร ตับ และไต รวมถึงทำให้เด็กกินอาหารประเภทอื่นได้น้อยลง เสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารและการเจริญเติบโตช้าลง
2 ชนิดปลาที่ไม่แนะนำให้เด็กกิน
1. ปลาที่มีก้างเล็กจำนวนมาก
แม้พ่อแม่จะพยายามเลือกก้างออก แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่เด็กจะถูกก้างปลาทิ่มคอ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังไม่มีทักษะเคี้ยวหรือกลืนดีพอ
2. ปลาที่ผ่านการปรุงรสจัดหรือผ่านความร้อนนานเกินไป
ปลารมควัน ปลาทอด ปลาย่าง หรือปลาดองเกลือ ล้วนมีรสชาติที่เด็กอาจชอบ แต่กระบวนการเหล่านี้ทำให้สูญเสียสารอาหารสำคัญ และอาจเกิดสารก่อมะเร็ง เช่น พอลิไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน หรือเบนโซไพรีน ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพเด็ก
