ประวัติ "พระอุเชนทร์" วัตถุโบราณ อายุพันปี ของคู่บุญบารมี พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน
ประวัติ "พระอุเชนทร์" คู่บุญบารมี พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน
พระอุเชนทร์ เป็นหนึ่งในวัตถุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชุมชนอำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีความสำคัญทั้งในมิติประวัติศาสตร์ ตำนานท้องถิ่น และความเชื่อทางศาสนาที่ถูกส่งต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน บทความนี้รวบรวมประวัติ เรื่องเล่า รวมถึงวิธีสักการะตามความเชื่อที่แพร่หลายในท้องถิ่น เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจที่มาที่ไปของพระอุเชนทร์อย่างครบถ้วน
รูปลักษณ์และความสำคัญในอดีต
พระอุเชนทร์เป็นองค์พระรูปช้าง ทำด้วยหินทรายแดง ขนาดหน้าตักประมาณ 0.22 เมตร สูงประมาณ 0.33 เมตร ในอดีตพระอุเชนทร์ถือเป็นเทพประจำอำเภอฉวางและประจำกรมช้างกลาง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในยุคที่มีการจับช้างเพื่อส่งถวายและฝึกฝนก่อนส่งไปยังเมืองหลวงหรือจำหน่ายต่างประเทศ ดังนั้น พระอุเชนทร์จึงมีสถานะทั้งในแง่พิธีกรรมและการคุ้มครองสัตว์ รวมทั้งเป็นเครื่องยืนยันตำแหน่งความสำคัญของพื้นที่ในสมัยก่อน
ตำนานการค้นพบและอภินิหาร
มีเรื่องเล่าพลิกผันหลายตอนเกี่ยวกับที่มาของพระอุเชนทร์ หนึ่งในเรื่องเล่าที่แพร่หลายว่า พระองค์เดิมประดิษฐานอยู่ที่ถ้ำพรรณรา ต่อมาในปี พ.ศ. 2442 ถูกนำมาประดิษฐานที่ว่าการอำเภอฉวางเก่าหรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า “วังอ้ายล้อน” แต่เมื่อย้ายที่ว่าการ พระอุเชนทร์กลับถูกทิ้งไว้และชาวบ้านไม่ทราบตำแหน่งที่แน่นอน
เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่นั้น ผู้คนได้ยินเสียงช้างโห่ร้องในยามค่ำคืน และมีความเชื่อว่าพระอุเชนทร์ให้โชคลาภแก่ผู้บนบาน เช่น ทำให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ หรือคุ้มครองไม่ให้ช้างทำลายผลผลิต เรื่องเล่าหนึ่งกล่าวถึงชายสองพ่อลูกที่บนบานแล้วลืมแก้บน ทำให้คนหนึ่งมือหมั่นติดกันจนไม่สามารถแยกได้ ต่อมาเมื่อชาวบ้านทำพิธีแก้บน สภาพจึงกลับเป็นปกติ ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้ถูกตีความว่าเป็นการแสดงฤทธิ์ของพระอุเชนทร์

การงมขึ้นและการอัญเชิญโดยพ่อท่านคล้าย
เมื่อตำนานการหายไปของพระอุเชนทร์ถูกเล่าต่อ พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ พระเถระผู้มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพของชาวนครศรีธรรมราช ได้ยินเรื่องราวและนำการอัญเชิญขึ้นมาในวันที่ 15 ค่ำ เดือน 6 (ตรงกับวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2469 ตามจดหมายเหตุท้องถิ่น) โดยมีการทำพิธีกลางสายฝนและอัญเชิญพระอุเชนทร์ขึ้นเรือกลับวัดสวนขัน เรื่องเล่าว่าตลอดการอัญเชิญเกิดเหตุการณ์ทางธรรมชาติและอภินิหารที่ชาวบ้านตีความว่าเป็นการคุ้มครองพระอุเชนทร์จนสามารถนำมาประดิษฐานที่วัดได้สำเร็จ
การเป็นคู่บุญบารมีและเหตุการณ์ในยุคหลัง
หลังการอัญเชิญ พระอุเชนทร์ได้รับการอัญเชิญประดิษฐานภายในพระอุโบสถวัดสวนขัน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระอุเชนทร์ถูกเคารพนับถือในฐานะ “คู่บุญบารมี” ของพ่อท่านคล้าย ผู้คนเชื่อว่าการมากราบไหว้จะช่วยนำมาซึ่งความสำเร็จในหน้าที่การงาน การเงิน การศึกษา และปัดเป่าสิ่งไม่ดี
มีบันทึกว่าในปี พ.ศ. 2516 พระอุเชนทร์ถูกโจรขโมยไปขายที่กรุงเทพ แต่สุดท้ายมีการตามพบและนำองค์พระกลับคืนมายังวัด โดยผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายร่วมมือกันจนได้องค์พระคืน ซึ่งเหตุการณ์นี้มักถูกเล่าถึงเป็นอภินิหารอีกตอนหนึ่งของพระอุเชนทร์
การขึ้นทะเบียนและการดูแลรักษา
ปัจจุบันพระอุเชนทร์ประดิษฐานอยู่ที่กุฏิเจ้าอาวาสเก่าวัดสวนขัน และมีการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในฐานะโบราณวัตถุของชาติ (ตามบันทึกท้องถิ่นและข้อมูลจากวัด) ทำให้พระอุเชนทร์ได้รับการดูแลและรักษาอย่างเป็นทางการในบริบทของมรดกทางวัฒนธรรม
ความเชื่อและวิธีสักการะ
ความเชื่อหลักของผู้ที่มาสักการะพระอุเชนทร์ คือการขอพรเรื่องความสำเร็จ ความเจริญ ทั้งในด้านงาน การศึกษาการเงิน และการค้าขาย ในการสักการะ ประเพณีท้องถิ่นมักเตรียมน้ำดื่ม ผลไม้ ชุดเครื่องไหว้แบบเรียบง่าย และการตั้งเทียน 3 ด้าม (แบบเทียน 3 ง่ามตามตำนานท้องถิ่น) เพื่อบนบานหรือขอพร
สำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติแบบคนท้องถิ่น คำแนะนำสั้น ๆ ได้แก่
- มากราบด้วยความเคารพและตั้งใจ ขอพรอย่างสุจริต
- หากบนบานควรแก้บนตามสัญญาด้วยการถวายเครื่องไหว้หรือทำบุญให้วัด
- เคารพประเพณีและระเบียบของวัด ไม่ทำลายหรือเคลื่อนย้ายวัตถุโบราณ
มุมมองทางวัฒนธรรม
พระอุเชนทร์ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการผสมผสานระหว่างความเชื่อ ชุมชน และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การเล่าขานและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องสะท้อนการสร้างความเป็นชุมชนและการยึดโยงผู้คนเข้ากับสถานที่ ซึ่งเป็นคุณค่าที่สำคัญในการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรม
บทสรุป
พระอุเชนทร์ที่วัดสวนขัน คือองค์พระและสัญลักษณ์ที่ผูกพันกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและบุคลิกลักษณะของพ่อท่านคล้าย เรื่องเล่าต่าง ๆ ทั้งอภินิหาร การอัญเชิญกลับ และเหตุการณ์ที่ตามมาล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ทำให้พระอุเชนทร์มีความหมายทั้งด้านศรัทธาและมรดกวัฒนธรรม หากมีโอกาสมาเยือนนครศรีธรรมราช การไปกราบไหว้และศึกษาประวัติความเป็นมาที่วัดสวนขันจะช่วยให้เราเข้าใจรากเหง้าทางวัฒนธรรมของพื้นที่นี้ได้ดีขึ้น