ฝรั่งเรียก "ปลาหัวงู" ปลาพื้นบ้านไทย หาโคตรง่าย สรรพคุณช่วยสมานแผล-ฟื้นฟูร่างกาย
ปลาช่อน: ขุมทรัพย์โภชนาการของไทยและข้อควรระวัง
ปลาช่อน: ปลาพื้นบ้านที่มากด้วยคุณค่า
ปลาช่อน (Channa striata) เป็นปลาน้ำจืดที่คนไทยคุ้นเคย พบได้ในท้องนา คลอง และบึงธรรมชาติ ด้วยลักษณะหัวที่คล้ายงู ทำให้ชาวตะวันตกเรียกว่า "Snakehead Fish" หรือ "ปลาหัวงู" แม้ชื่ออาจดูน่ากลัว แต่ปลาช่อนกลับอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพ จนได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารบำรุงร่างกายของไทย
คุณค่าทางโภชนาการของปลาช่อน
ในเนื้อปลาช่อน 100 กรัม ให้สารอาหารโดยประมาณ ดังนี้:
- พลังงาน: 80-120 กิโลแคลอรี (ขึ้นกับวิธีปรุงและสภาพปลา)
- โปรตีน: 17-20 กรัม โปรตีนคุณภาพสูง ย่อยง่าย ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและสร้างกล้ามเนื้อ
- ไขมัน: 2-4 กรัม ส่วนใหญ่เป็นไขมันดี รวมถึงกรดไขมันโอเมก้า-3 (80-250 มิลลิกรัม) ช่วยบำรุงสมอง ระบบประสาท ลดการอักเสบ และดีต่อหัวใจ
- กรดอะมิโนที่จำเป็น: อุดมไปด้วย ไกลซีน และ โพรลีน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของคอลลาเจน ช่วยสมานแผลและซ่อมแซมเซลล์
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
ปลาช่อนมีสรรพคุณที่ได้รับการยอมรับทั้งในแพทย์แผนไทยและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ดังนี้:
- เร่งสมานแผล: โปรตีนและกรดอะมิโนช่วยสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ทำให้แผลผ่าตัด แผลสด หรือแผลอุบัติเหตุหายเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงแผลเป็นนูน (คีลอยด์) การศึกษายืนยันว่าสารสกัดปลาช่อนช่วยเพิ่ม fibroblasts และลดการอักเสบของแผล
- ฟื้นฟูกำลัง: เหมาะสำหรับผู้ป่วยพักฟื้นหรือสตรีหลังคลอด ช่วยบำรุงเลือดและฟื้นฟูพลังงาน ด้วยโปรตีนและอัลบูมินสูง
- ลดการอักเสบ: กรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยลดอาการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย
- เสริมสร้างกล้ามเนื้อ: โปรตีนสูงเหมาะสำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่ต้องการเสริมกล้ามเนื้อ

เฟกนิวส์: การกินลูกปลาช่อนดิบ
มีข้อมูลที่แชร์ในโซเชียลมีเดียว่าการกินลูกปลาช่อนดิบ (700-1,500 ตัว) ช่วยสมานแผลหลังคลอดให้หายเร็ว ซึ่ง นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ นายแพทย์ปรุฬห์ สนุ่นรัตน์ จากโรงพยาบาลราชวิถี ระบุว่า ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์สนับสนุน ความเชื่อนี้เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลและอันตราย
การกินปลาดิบมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อพยาธิ (เช่น พยาธิใบไม้ตับ, พยาธิปากขอ) และแบคทีเรีย ซึ่งอาจนำไปสู่ท้องเสีย ร่างกายอ่อนแอ หรือในระยะยาวอาจเสี่ยงมะเร็งท่อน้ำดี น้ำที่ปนมากับปลาดิบก็อาจไม่สะอาด คุณแม่หลังคลอดควรรับประทานอาหารปรุงสุกที่มีโปรตีน วิตามิน C และสังกะสี (จากเนื้อสัตว์ ไข่ ผัก ผลไม้) เพื่อส่งเสริมการสมานแผลอย่างปลอดภัย
สารพัดเมนูจากปลาช่อน
ด้วยเนื้อแน่น ไม่คาวจัด และก้างใหญ่ที่แกะง่าย ปลาช่อนสามารถปรุงเป็นเมนูหลากหลาย เช่น:
- แป๊ะซะปลาช่อน: ปลาช่อนทอดกรอบ ราดน้ำแกงส้มรสจัดจ้าน
- ปลาช่อนลุยสวน: ทอดกรอบ เสิร์ฟพร้อมน้ำยำสมุนไพร
- ต้มยำปลาช่อน: ซุปรสเปรี้ยวเผ็ด คล่องคอ
- ปลาช่อนย่างเกลือ: เมนูเรียบง่ายที่คงรสหวานของเนื้อปลา
- ห่อหมกปลาช่อน: เนื้อปลาคลุกเครื่องแกงและกะทิ หอมใบยอและโหระพา
- ต้มน้ำใสใบมะขามอ่อน: เหมาะสำหรับผู้ป่วยพักฟื้นหรือสตรีหลังคลอด
ข้อควรระวังในการบริโภค
- พยาธิใบไม้ตับ: ปลาช่อนน้ำจืดอาจมีพยาธิ (เช่น Opisthorchis viverrini) เสี่ยงถึง 40-60% ในบางพื้นที่ ห้ามกินดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ ต้องปรุงสุกด้วยความร้อน
- ปนเปื้อนโลหะหนัก: ปลาจากแหล่งน้ำใกล้เขตอุตสาหกรรมอาจสะสมสารเช่นปรอทหรือแคดเมียม ควรเลือกจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
- ก้างปลา: แม้ก้างใหญ่ แต่ควรระวังในเด็กและผู้สูงอายุ
- การดูแลหลังคลอด: คุณแม่หลังคลอดควรกินอาหารย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารดิบ หมักดอง หรือน้ำไม่สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยแผลหายเร็ว
การดูแลสุขภาพหลังคลอด
การฟื้นฟูร่างกายหลังคลอดต้องเน้นอาหารที่มีประโยชน์ (เช่น ฟักทอง กุยช่าย หัวปลี) พักผ่อนเพียงพอ รักษาความสะอาด และออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินเร็ว การกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน C และสังกะสีจะช่วยสมานแผลและเสริมน้ำนม ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปลก ๆ หรือความเชื่อที่ไม่มีหลักฐาน เช่น การกินลูกปลาช่อนดิบ ซึ่งอาจเป็นอันตราย
สรุป
ปลาช่อนเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เหมาะสำหรับบำรุงร่างกายและสมานแผลเมื่อปรุงสุกอย่างถูกวิธี อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงความเชื่อผิด ๆ เช่น การกินลูกปลาช่อนดิบ ซึ่งไม่มีหลักฐานทางการแพทย์และเสี่ยงต่อสุขภาพ การเลือกปลาจากแหล่งสะอาดและปรุงสุกจะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก "ขุมทรัพย์แห่งท้องนา" นี้อย่างปลอดภัย