ประวัติศาสตร์ 5 นามสกุลแรกของไทย ทำความรู้จัก "คนไทยคนแรก" ที่มีนามสกุล
ย้อนประวัติศาสตร์ 5 นามสกุลแรกของไทย เป็นของใครบ้าง และทำความรู้จัก "คนไทยคนแรก" ที่มีนามสกุล
นับตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 คนไทยยังไม่มีการใช้นามสกุล เมื่อสังคมไทยเริ่มมีการขยายตัว ต่อมา รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 โดยประกาศบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 มีพระราชดำริว่าคนไทยทุกคนควรมี ชื่อตัวและนามสกุล เพื่อระบุบุคคลได้ชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อราชการ
เหตุผลที่รัชกาลที่ 6 ทรงให้มีนามสกุล
เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น การปกครองและการจัดการเอกสารราชการจำเป็นต้องมีวิธีระบุบุคคลอย่างชัดเจน รัชกาลที่ 6 ทรงเห็นว่า การมีนามสกุลช่วยให้ระบุบุคคลได้ชัดเจนและเชื่อมโยงถึงบรรพบุรุษ ในพระราชบันทึกส่วนพระองค์เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2454 ระบุว่า :
“…ชื่อแส้ฤๅตระกูล ซึ่งในเมืองอื่นๆ เขาก็มีกันแบบทั่วไป แต่ในเมืองเรายังหามีไม่ เห็นว่าดูถึงเวลาอยู่แล้วที่จะต้องจัดให้มีขึ้น การที่มีชื่อตระกูลเป็นความสะดวกมาอย่างต่ำๆ ที่ใครๆ ก็ย่อมจะมองเห็นได้… จะทำให้คนเรารู้จักรำลึกถึงบรรพบุรุษของตนผู้ได้อุสาหก่อร่างสร้างตัวมา และได้ตั้งตระกูลไว้ให้มีชื่อในแผ่นดิน…”
พระราชบัญญัติขนานนามสกุลถูกตราขึ้นวันที่ 22 มีนาคม 2455 มีผลบังคับใช้ครั้งแรก 1 กรกฎาคม 2456 และเลื่อนออกไปอีก 2 ครั้งจนบังคับใช้อย่างเต็มที่เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2458
คนไทยคนแรกที่มีนามสกุล
คนไทยคนแรกที่ได้รับนามสกุลคือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น) เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย รัชกาลที่ 6 พระราชทานนามสกุล “สุขุม” ให้ และปรากฏในประกาศชุดแรกตามพระราชบัญญัติขนานนามสกุลเป็นรายการที่ 1
เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นรัฐบุรุษ 4 แผ่นดิน มีบทบาทสำคัญตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลที่ 8 ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ เสนาบดีกระทรวงนครบาล อภิรัฐมนตรี และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ประวัติส่วนตัวและการศึกษา
เกิดวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2405 ที่ตำบลบ้านตก สุพรรณบุรี เป็นบุตรคนสุดท้องในครอบครัวคฤหบดี เรียนหนังสือที่วัดประตูสาร สุพรรณบุรี ก่อนเข้ากรุงเทพฯ เป็นศิษย์พระใบฎีกาอ่วม วัดหงส์รัตนาราม บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบท อายุ 21 ปี จนได้เปรียญ 3 ประโยค ต่อมาได้สมรสกับนางสาวตลับ ยมราช และมีบุตรธิดา 10 คน
หน้าที่การงานและราชการ
หลังลาสิกขา เข้ารับราชการเป็นครูฝึกหัดในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ จากนั้นได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนวิจิตรวรสาส์น เดินทางไปอังกฤษเพื่อถวายการศึกษาแก่พระเจ้าลูกยาเธอ 4 พระองค์ ต่อมาโอนมารับราชการในกระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช เป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ และเสนาบดีกระทรวงนครบาล
ผลงานสำคัญ
-
ปรับปรุงระเบียบการปกครองเจ็ดหัวเมืองภาคใต้
-
สร้างระบบประปา ไฟฟ้า ถนน และสะพานในกรุงเทพฯ
-
ก่อสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม
-
เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
การถึงแก่อสัญกรรม
เจ้าพระยายมราชล้มป่วยด้วยโรคปอดอักเสบ และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2481 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงพระราชทานน้ำอาบศพและวางพวงมาลาที่ศพด้วยพระองค์เอง

5 นามสกุลแรกของไทย
นอกจากนามสกุล “สุขุม” ที่เป็น นามสกุลแรกของไทย หรือลำดับที่ 1 ที่พระราชทานให้เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) แล้ว ในคราวเดียวกันนั้น รัชกาลที่ 6 ยังพระราชทาน นามสกุล ให้ขุนนางอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็น 5 นามสกุลแรกของไทย ได้แก่
มาลากุล
ลำดับที่ 2 นามสกุล “มาลากุล” พระราชทานให้ พระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ (หม่อมราชวงศ์เปีย) หรือเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เสนาบดีกระทรวงธรรมการในเวลาต่อมา และพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม) หรือเจ้าพระยาธรรมาธิการณาธิบดี เสนาบดีกระทรวงวังในเวลาต่อมา
พึ่งบุญ
ลำดับที่ 3 นามสกุล “พึ่งบุญ” พระราชทานให้ พระยาประสิทธิ์ศุภการ (หรือเจ้าพระยารามราฆพในเวลาต่อมา) จางวางมหาดเล็กห้องพระบรรทม
ณ มหาไชย
ลำดับที่ 4 นามสกุล “ณ มหาไชย” พระราชทานให้ พระยาเทพทวาราวดี (หรือพระยาบำเรอบริรักษ์ในเวลาต่อมา) อธิบดีกรมมหาดเล็ก
ไกรฤกษ์
ลำดับที่ 5 นามสกุล “ไกรฤกษ์” พระราชทานให้ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ อธิบดีกรมชาวที่ และพระยาจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์ (หรือเจ้าพระยามหิธรในเวลาต่อมา) กรรมการศาลฎีกา
หลักการตั้งนามสกุลหลังพระราชบัญญัติ
การจดทะเบียนนามสกุลของประชาชนมีการแบ่งตามท้องที่และมีหลักการตั้งชื่อสกุลดังนี้:
ตั้งตามชื่อบรรพบุรุษ เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย
ตั้งตามราชทินนามของข้าราชการ เช่น หลวงพิบูลสงคราม เป็นนามสกุล พิบูลสงคราม
ตั้งตามตำบลหรือพื้นที่อยู่อาศัย
สำหรับเชื้อพระวงศ์ ต้องต่อท้ายด้วยคำว่า “ณ อยุธยา” หากเป็นลูกหลาน
หญิงไทย ห้ามตั้งนามสกุลเอง ต้องใช้ของบุรุษหัวหน้าครัวหรือญาติฝ่ายชาย
นอกจากนี้ หลายนามสกุลได้รับพระราชทานโดยตรงจากรัชกาลที่ 6 โดยพิจารณาถึงความเกี่ยวดองระหว่างสกุล, ชื่อบรรพบุรุษ, สถานที่เกิด, อาชีพเดิม และเลือกชื่อที่มงคลเหมาะสมเพื่อสร้างศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจ

การพระราชทานนามสกุลแก่ขุนนางและข้าราชบริพาร
รัชกาลที่ 6 จะแบ่งประเภทตามรากเหง้าและอาชีพ เช่น:
-
พื้นที่หรือบ้านเมือง เช่น ณ ระนอง, ณ ถลาง
-
ตระกูลทหาร เช่น โยธิน, เสนีย์, ณรงค์
-
อาชีพแพทย์ เช่น วิทย์, เวช, แพทย์
-
พ่อค้า เช่น วาณิช
-
ใช้ชื่อบรรพบุรุษ เช่น บุนนาค
สำหรับผู้ขอพระราชทานนามสกุลจากเชื้อชาติอื่น จะทรง แปลงชื่อเป็นไทย ให้เหมาะสมและมีความหมาย เช่น
-
ชาวจีน: แซ่ตัน เป็น ตัณฑะ, แซ่เล้า เป็น เลาหะ, แซ่กิม เป็น กาญจนะ
-
ชาวตะวันตก: เฮนดริกซ์ เป็น อหันทริก, ลอว์สัน เป็น ลวสันธ์