"ปลาศักดิ์สิทธิ์แห่งลุ่มน้ำโขง" โผล่แค่ 3 เดือนต่อปี อุดมแคลเซียมสูง เนื้อนุ่ม กินกระดูกได้!
ปลาที่ถูกขนานนามว่า "ปลาศักดิ์สิทธิ์" โผล่แค่ 3 เดือนต่อปี: แคลเซียมสูง เนื้อนุ่ม กินได้ทั้งกระดูก
นอกเหนือจากเนื้อสัตว์หรือผักใบเขียวแล้ว ปลาเป็นแหล่งสารอาหารสำคัญที่ขาดไม่ได้ในมื้ออาหารของครอบครัวหลายบ้าน มีปลาหลายชนิดที่ไม่เพียงแต่สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารจานอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงเท่านั้น แต่ยังได้รับความสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจากเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจอีกด้วย
หนึ่งในนั้นคือ ปลาลินห์ (cá linh) ปลาชื่อดังของเขตลุ่มแม่น้ำในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของเวียดนาม ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่ามากมาย ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่นี้ถึงกับพูดกันเล่นๆ ว่านี่คือ “ปลาศักดิ์สิทธิ์” แห่งฤดูน้ำหลาก
ตำนานของ "ปลาลินห์" ในเวียดนามตอนใต้
ชื่อ “ปลาลินห์” เองก็ชวนให้นึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของปลาชนิดนี้ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ Quân đội Nhân dân มีตำนานเล่าว่าในสมัยพระเจ้าเหงียนแอ๊ง (Nguyễn Ánh) ขณะหลบหนี เขาได้พบกับฝูงปลาที่กระโดดขึ้นเรืออย่างไม่คาดคิด ช่วยให้เขารอดพ้นจากการซุ่มโจมตีของกองทัพไทเซิน (Tây Sơn) เมื่อขึ้นครองราชย์ เขาจึงตั้งชื่อปลานี้ว่า “ปลาลินห์” เพื่อระลึกถึงลางดีครั้งนั้น
นอกจากนี้ นักวิจัยบางคนเชื่อว่าคำว่า “ลินห์” มาจากภาษาเขมร “trêy lênh” ซึ่งแปลว่าปลาที่อพยพตามกระแสน้ำ โดยออกเสียงเพี้ยนกลายมาเป็น “ปลาลินห์” ในที่สุด
ไม่เพียงแต่ชื่อเรียกที่มีความพิเศษเท่านั้น ปลาลินห์ยังถูกชาวเวียดนามมองว่าเป็น “ของขวัญจากสวรรค์” ในทุกฤดูน้ำหลาก ตามรายงานของเว็บไซต์ Vietnamnet เมื่อถึงประมาณวันเพ็ญเดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติ ดอกดีนดีน (bông điên điển) เริ่มบานเหลืองริมแม่น้ำ นั่นก็เป็นสัญญาณว่า ฝูงปลาลินห์รุ่นแรก ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว และถือเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูน้ำหลากอย่างเป็นทางการ
ชาวบ้านเชื่อว่าการปรากฏตัวตรงเวลาของปลาชนิดนี้คือหลักฐานของความผูกพันระหว่างธรรมชาติกับวิถีชีวิตของผู้คนในลุ่มน้ำ ปลาลินห์ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารและความเชื่อในภาคตะวันตกของเวียดนามอีกด้วย
ในหลายครอบครัว ถ้าไม่มีปลาลินห์บนโต๊ะอาหารช่วงน้ำหลาก ก็ถือว่าอาหารยังไม่สมบูรณ์ และในท้องถิ่นบางแห่งยังมีบทกลอนพื้นบ้านที่กล่าวไว้ว่า “ปลาลินห์เคี่ยวกับอ้อย, แกงเปรี้ยวใส่ดอกบัว กินครั้งเดียวแล้วไม่อยากลืม”
ปลาตัวเล็ก แคลเซียมสูง กินได้ทั้งกระดูก
ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ของทางการท้องถิ่น ปลาลินห์จะพบได้เพียงประมาณ 3 เดือน ตั้งแต่เดือน 7 ถึงเดือน 10 ตามปฏิทินจันทรคติ ในช่วงที่น้ำจากโตนเลสาบ (ทะเลสาบใหญ่ในกัมพูชา) ไหลลงสู่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในเวียดนาม
ในช่วงต้นฤดู ปลายังตัวเล็ก กระดูกอ่อน ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ปลาลินห์อ่อน” หรือ “ปลาลินห์นม” เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากเพราะเนื้อมีความมัน นุ่ม และสามารถกินได้ทั้งกระดูก
เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายฤดู ปลาจะตัวใหญ่ขึ้น มีมันมากขึ้น และยังคงมีรสชาติหวานนุ่ม โดยเหมาะกับการนำไป เคี่ยว, ทอดกรอบ หรือ หมักเป็นปลาร้า
แหล่งอาหารสำคัญจากธรรมชาติ
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ Nhân Dân ปลาลินห์คิดเป็นกว่า 70% ของปริมาณปลาธรรมชาติที่จับได้ในฤดูน้ำหลากในจังหวัดอานซาง (An Giang) จึงถือเป็นแหล่งอาหารหลักที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการของชาวบ้านในพื้นที่
ดร. เหงียนหงอกฮุง (Đặng Ngọc Hùng) แห่งสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาด้านโภชนาการ ระบุว่า ปลาลินห์เป็นแหล่งแคลเซียมชั้นดี เหมาะกับผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน หรือผู้ที่ต้องการเสริมแคลเซียม
หนังสือพิมพ์ Sức khoẻ & Đời sống ยังเพิ่มเติมว่า ในปลาลินห์ยังมีสารอาหารสำคัญอื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส, ธาตุเหล็ก, โอเมก้า-3, วิตามินเอ และวิตามินบี ซึ่งดีต่อกระดูก ข้อต่อ หัวใจ และระบบภูมิคุ้มกัน
เมนูหลากหลาย ราคาขึ้นอยู่กับฤดูกาล
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ Dân Việt ในช่วงต้นฤดูที่ปลาลินห์อ่อนมีปริมาณน้อย ราคามักอยู่ที่ประมาณ 200,000 – 300,000 ด่งต่อกิโลกรัม (ประมาณ 300 – 450 บาทไทย) เมื่อเข้าสู่ช่วงที่ปลามีมาก ราคาก็จะค่อยๆ ลดลง ทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น
นักท่องเที่ยวจากโฮจิมินห์ซิตี้ และฮานอยจำนวนไม่น้อยยอมเดินทางไปยังจังหวัดอานซาง หรือด่งท้าป เพื่อซื้อปลาลินห์สดๆ มาลิ้มลอง หรือสั่งซื้อโดยตรงจากท้องถิ่นเพื่อให้ได้ของคุณภาพ
การปรุงปลาลินห์มีหลากหลายวิธี หนึ่งในเมนูขึ้นชื่อคือ แกงเปรี้ยวปลาลินห์ใส่ดอกดีนดีน ที่ผสมผสานรสชาติหวานมันและเปรี้ยวอ่อนๆ ได้อย่างลงตัว จนถูกขนานนามว่าเป็น “รสชาติแห่งฤดูน้ำหลาก”
นอกจากนี้ ยังมีเมนูยอดนิยมอย่าง หม้อไฟปลาลินห์ใส่ดอกบัว, ปลาลินห์เคี่ยวกับอ้อย, ทอดกรอบ หรือ หมักเป็นปลาร้า ซึ่งเป็นของดีที่ขึ้นชื่อไปทั่วภาคตะวันตกของเวียดนาม
ประเทศไทยมีปลาลินห์ไหม?
ปลาลินห์ ที่ขึ้นชื่อในเวียดนาม เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กในวงศ์เดียวกับปลาตะเพียน เช่น Henicorhynchus siamensis ซึ่งสามารถพบได้ในลุ่มแม่น้ำโขงของประเทศไทย โดยเฉพาะในฤดูน้ำหลาก ปลาชนิดนี้มีเนื้อนุ่ม แคลเซียมสูง และสามารถรับประทานได้ทั้งกระดูก นิยมนำไปปรุงเป็นอาหารพื้นบ้านได้เช่นกัน
ซึ่งปลาลินห์ในประเทศไทยก็พบได้เฉพาะในช่วงฤดูน้ำหลาก ประมาณ 3 เดือนต่อปีเหมือนกัน คือช่วงที่น้ำจากแม่น้ำโขงไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ตอนบน ซึ่งช่วงนี้ปลาลินห์จะเข้ามาในบริเวณนั้นเพื่อวางไข่และเจริญเติบโต
