วิจัยเตือน เพื่อนร่วมงาน "ขโมยไอเดีย" มักเนียนฉกไปตอนไหน? หลายคนเจ็บหนักเพราะรู้ช้า!
เพื่อนร่วมงานขโมยไอเดีย? งานวิจัยยืนยันเรื่องนี้มีจริงและส่งผลร้ายแรง พร้อมเตือนช่วงที่เสี่ยงโดนฉกมากที่สุด
ทำไมคนแย่งไอเดียถึงได้ดี ส่วนคนคิดจริงกลับถูกลืม? งานวิจัยจากต่างประเทศเปิดเผยคำตอบที่อาจสะเทือนใจใครหลายคน
ปรากฏการณ์ “ขโมยไอเดีย” ในที่ทำงาน (idea theft) ไม่ใช่แค่คำพูดฟังดูแล้วไม่ดี มีการวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่าพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นจริง และมีผลกระทบทั้งกับบุคคลและองค์กรอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมไขข้อสงสัย เพื่อนร่วมงานมักเลือกลงมือเมื่อไหร่ และทำไมไม่คิดเอง?
งานวิจัยที่ยืนยันว่าไอเดียถูกขโมยมีอยู่จริง
“Social inattentional blindness to idea stealing in meetings” – Zoe Kinias และคณะ
งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports (2024) โดย Zoe Kinias, Theodore C. Masters‑Waage และคณะ ศึกษาผ่านการทดลองในสภาพแวดล้อมจำลอง (virtual reality) ให้ผู้เข้าร่วมประชุม brainstorming ไอเดีย แล้วมีคนหนึ่งเอาไอเดียของผู้อื่นไปอ้างว่าเป็นของตัวเอง N = 154 คน
ผลที่ได้คือ
- กว่า 99% จำได้ว่าไอเดียไหน “ดีที่สุด” แต่มีเพียง ~30% เท่านั้นที่จำได้ว่าใครเป็นคนเสนอไอเดียต้นฉบับ
- ประมาณ 42% ของผู้เข้าร่วมประชุมให้เครดิตไอเดียนั้นแก่คนที่ “ขโมย” โดยไม่รู้ตัวว่าไม่ใช่เจ้าของไอเดียจริง
นี่คือเหตุผลที่น่าเจ็บใจว่า ทำไมในห้องประชุม คนจำไอเดียได้ แต่ลืมว่าใครเป็นคนคิด
“The interpersonal consequences of stealing ideas: Worse character judgments and less co‑worker support for an idea (vs. money) thief” – Lillien M. Ellis
ตีพิมพ์ในวารสาร Organizational Behavior and Human Decision Processes (2022) งานวิจัยนี้เปรียบเทียบการขโมยไอเดียกับการขโมยเงิน (money theft) ว่าความรุนแรงและการตัดสินทางจริยธรรม (moral / character judgment) แตกต่างกันอย่างไร
ประเด็นสำคัญจาก Ellis
- ผู้ที่ขโมยไอเดียถูกมองว่า เป็นตัวละครที่แย่กว่า คนที่ขโมยเงิน
- เพื่อนร่วมงานมักลดการให้ การสนับสนุน (co‑worker support) แก่ผู้ที่ขโมยไอเดีย
- การตัดสินจะรุนแรงขึ้น ถ้าไอเดียนั้นเป็นไอเดียที่โดดเด่น / สร้างสรรค์ (creative) มากกว่าไอเดียทั่วไปที่ใช้งานได้เลย (practical)
- มีการศึกษาว่าในองค์กรที่มีวัฒนธรรม Collectivistic (ซึ่งเน้นกลุ่ม มากกว่าปัจเจก) คนอาจมองการขโมยไอเดีย / ownership ของไอเดียแตกต่างออกไป (มีความเมตตา / ให้อภัยมากกว่า)
- งานวิทยานิพนธ์ “The Consequences of Idea Theft” โดย Ellis ยังระบุว่า 29% ของพนักงานเคยมีประสบการณ์ว่าไอเดียของตัวเองถูกขโมยโดยเพื่อนร่วมงานอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

ทำไมคนถึงเลือกขโมยไอเดียแทนที่จะคิดเอง?
การขโมยไอเดียในที่ทำงานเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย และหลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมบางคนถึงเลือกขโมยไอเดียคนอื่นแทนที่จะคิดเอง? คำตอบนั้นมาจากหลายปัจจัย ทั้งทางด้านจิตวิทยาและวัฒนธรรมองค์กร ที่ทำให้พฤติกรรมนี้กลายเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าและได้ผลเร็วกว่า
1. มันคือ “ทางลัด” สู่การยอมรับ
แทนที่จะใช้เวลาคิดไอเดียใหม่ ๆ ที่มีความเสี่ยงและใช้เวลานาน บางคนเลือกขโมยไอเดียที่มีอยู่แล้วแล้วนำเสนอในรูปแบบของตัวเอง เพราะจะมีโอกาส “ได้หน้า” ได้รับคำชม และยอมรับได้เร็วกว่า
2. พฤติกรรม “ขโมยแล้วไม่มีใครรู้” ถูกเสริมแรง
งานวิจัยพบว่า คนส่วนใหญ่จำไอเดียได้ดี แต่จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนคิด ทำให้คนที่ขโมยไอเดียไม่โดนจับผิด และยังอาจได้รับคำชมจากหัวหน้าแทน
3. กลัวล้มเหลว กลัวหน้าแตก
หลายคนไม่กล้าเสนอไอเดียใหม่ด้วยความกลัวจะผิดพลาดหรือถูกปฏิเสธ จึงเลือกที่จะรอดูไอเดียของคนอื่นก่อน แล้วนำมาขยายความหรือพูดซ้ำแบบเนียน ๆ ใช้ความเสี่ยงของคนอื่นเป็นประโยชน์
4. วัฒนธรรมองค์กรไม่ชัดเจนเรื่องการให้เครดิต
องค์กรที่ไม่มีระบบชัดเจนในการให้เครดิต เช่น ไม่จดบันทึกว่าใครเสนอไอเดียก่อน หรือหัวหน้าไม่สนใจรายละเอียดนี้ จะส่งผลให้คนเริ่มแย่งพูดและแย่งเสนอไอเดีย เพราะรู้ว่าถ้าช้าอาจไม่ได้อะไรเลย
5. ต้องการสร้างภาพว่า “มีความสามารถ”
ในหลายองค์กร การเป็นเจ้าของไอเดียหมายถึงการถูกมองว่าเก่งและมีศักยภาพ จึงมีแรงจูงใจสูงที่จะขโมยหรือแย่งชิงเครดิตไอเดียเพื่อประโยชน์ในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมการแข่งขันสูง
❝เพราะการขโมยไอเดีย “เสี่ยงน้อย ได้ผลเร็ว” และสังคมส่วนใหญ่ยังไม่มีกลไกตรวจสอบที่ดีพอ❞
การขโมยไอเดียเป็นทางเลือกที่เสี่ยงน้อยแต่ได้ผลเร็ว และยังถูกเสริมแรงจากวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เข้มงวดในการให้เครดิต ซึ่งทำให้หลายครั้งไอเดียดี ๆ จากคนคิดจริงกลับกลายเป็นชื่อของคนอื่นแทน
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ “ไอเดียดีๆ” จากคนบางคนหายเงียบไปในที่ประชุม และกลายเป็นชื่อผลงานของคนอื่นแทน
ขโมยไอเดียชอบเล่นงานช่วง “คิดต้นทาง”
หลายคนอาจคิดว่าไอเดียจะถูกขโมยตอนเสร็จแล้ว แต่งานวิจัยกลับบอกว่า…ไม่ใช่เลย
มีงานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Cornell + UVA (โดย Brian Lucas & Lillien Ellis) ที่ชี้ว่า “คนขโมยไอเดีย” มักเลือกเป้าหมายเป็น ไอเดียในช่วงต้น (early-stage concepts) มากกว่าช่วงที่ไอเดียได้ถูกพัฒนาจนชัดเจน/full‑formed มากแล้ว เหมือนกับผู้สร้างมักคาดการณ์ผิดว่า ไอเดียจะถูกขโมยในช่วงหลัง แต่จริง ๆ แล้วผู้ขโมยมักเห็นโอกาสในไอเดียที่ยังไม่สมบูรณ์เพราะมันเปิดกว้างต่อการอ้างอิงว่าเป็น “แรงบันดาลใจ” มากกว่า “ขโมยเต็มตัว”
การรู้เท่าทันว่าคนส่วนใหญ่มักขโมยไอเดียตั้งแต่ช่วงต้นของกระบวนการคิด ไม่ใช่ตอนที่ไอเดียสมบูรณ์แล้ว ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้เราระมัดระวังมากขึ้นในการเปิดเผยแนวคิดกับผู้อื่น โดยเฉพาะในช่วงที่ไอเดียยังเปราะบางและไม่มีหลักฐานรองรับ การระวังไม่แชร์กับคนที่ยังไม่ไว้ใจ หรือการวางมาตรการป้องกัน เช่น จดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร มี timestamp หรือเลือกแชร์เฉพาะกับกลุ่มที่จำเป็นจริงๆ จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นในยุคที่ "แรงบันดาลใจ" และ "การขโมยไอเดีย" มีเส้นแบ่งที่บางมาก การเข้าใจว่าความเสี่ยงนั้นเริ่มต้นตั้งแต่เรายังคิดไม่จบ อาจเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยรักษาผลงานและความคิดสร้างสรรค์ของเราไม่ให้สูญหายไปอย่างไม่เป็นธรรม

คนที่ขโมยไอเดีย มั่นใจว่าผลงานเป็นของตัวเองหรือไม่?
หลายคนอาจสงสัยว่า คนที่ขโมยไอเดียในที่ทำงาน มีความมั่นใจในระดับไหนว่าผลงานนั้นเป็นของตัวเองจริงหรือไม่ จากงานวิจัยด้านจิตวิทยาและพฤติกรรมองค์กร พบคำตอบที่น่าสนใจ
1. Self-Serving Bias หรืออคติชอบเข้าข้างตัวเอง
งานวิจัยระบุว่า คนมักจะมีแนวโน้มเชื่อว่าผลงานที่ตนเสนอหรือพูดถึงเป็นของตัวเอง แม้จริง ๆ แล้วไอเดียนั้นมาจากคนอื่น Self-serving bias ทำให้คนที่ขโมยไอเดียรู้สึกมั่นใจและยึดถือผลงานนั้นว่าเป็นของตัวเองโดยไม่รู้สึกผิด
2. การปรับเปลี่ยนและตีความไอเดียใหม่
บางครั้งผู้ขโมยไอเดียอาจปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาไอเดียเล็กน้อย ทำให้รู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ผลงานนั้นด้วยตัวเอง และเกิดความเชื่อว่าผลงานนี้เป็นของตนเองจริง ๆ
3. การได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง
เมื่อผลงานได้รับคำชมและการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า ยิ่งทำให้คนที่ขโมยไอเดียมั่นใจว่าไอเดียนี้เป็นของเขาจริง ๆ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในองค์กร
กล่าวง่ายๆ ก็คือ คนที่ขโมยไอเดียมักมีความมั่นใจว่าผลงานนั้นเป็นของตัวเอง เนื่องจากอคติทางจิตวิทยาและการได้รับการยอมรับจากสังคมในองค์กร นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่พฤติกรรมขโมยไอเดียยังคงเกิดขึ้นและแพร่หลาย
บทเรียนและสิ่งที่องค์กร / บุคคลควรทำ
- มีระบบบันทึกไอเดียอย่างชัดเจน เช่น บันทึกชื่อผู้เสนอในที่ประชุม หรือส่งอีเมลตกลงกับทีมหลังประชุม
- ส่งเสริมวัฒนธรรมที่ให้เครดิต (credit) อย่างโปร่งใส และให้ผู้ที่เสนอไอเดียได้รับการยอมรับก่อน
- ผู้บริหาร / หัวหน้างานควรตระหนักถึง “attention limitations” อย่าให้ภาระงานหรือ multitasking ทำให้คนฟังไอเดียไม่เต็มที่
- เมื่อรู้ว่ามีการใช้ไอเดียของคนอื่น ควรชี้แจงว่าใครเป็นเจ้าของเดิมเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด และส่งเสริมความไว้วางใจในทีม
ท้ายที่สุด งานวิจัยยืนยันว่า “การขโมยไอเดีย” ไม่ได้เป็นเรื่องเล็ก มันส่งผลกระทบทั้งทางจริยธรรม จิตใจ และความสัมพันธ์ในทีม หนึ่งในบทสรุปสำคัญคือ คนมักจำ “เนื้อหาไอเดีย” ได้ แต่ไม่จำว่าใครเป็นคนเสนอ และนั่นเปิดช่องให้เกิดการขโมยเครดิตได้ง่าย
ทั้งองค์กรและบุคคลควรตระหนักว่า “ไอเดียดีๆ” มีคุณค่าไม่แพ้ผลงาน และการให้เครดิตอย่างถูกต้อง ถือเป็นมารยาทในการทำงาน เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีขึ้น ทั้งด้านจิตใจและประสิทธิภาพงาน
