สาววัย 32 ป่วยตับแข็ง อึ้งตับอักเสบทั้งครอบครัว 7 คน สาเหตุไม่ได้มาจากอาหาร
สาววัย 32 ป่วยตับแข็ง อึ้งตับอักเสบทั้งครอบครัว 7 คน สาเหตุเหมือนกันหมด ไม่ได้มาจากอาหารการกิน
ที่แผนกโรคตับอักเสบ โรงพยาบาลกลางโรคเขตร้อน ในกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม มีผู้ป่วยหญิงอายุ 32 ปี เป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส ซึ่งทั้งครอบครัว 7 คนล้วนป่วย และมี 2 คนเข้าสู่ระยะเริ่มต้นของโรคตับแข็งแล้ว
ตามคำบอกเล่า พ่อผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ในระยะที่ไวรัสยังทำงาน แม่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B ส่วนลูกทั้ง 5 คนในครอบครัว รวมทั้งผู้ป่วยหญิงรายนี้ ต่างก็ติดไวรัสตับอักเสบบี โดยผู้ป่วยและพี่สาวได้เข้าสู่ระยะเริ่มต้นของตับแข็งแล้ว
นอกจากนี้ยังมีพี่เขยและหลานในบ้านที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี ด้วย
ผู้ป่วยเล่าว่าตนรู้ว่าป่วยตั้งแต่อายุ 18 ปี ตอนตรวจสุขภาพเพื่อสมัครงาน แพทย์แนะนำให้คนในครอบครัวเข้ารับการตรวจด้วย และพบว่าทุกคนติดเชื้อเหมือนกัน แต่ในตอนนั้นยังไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา
ต่อมาเมื่อผู้ป่วยแต่งงานและตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน เธอมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ตับวาย และเริ่มเข้าสู่ภาวะตับแข็ง แพทย์พยายามประคองการตั้งครรภ์ แต่สุดท้ายคลอดก่อนกำหนดในเดือนที่ 8 หลังคลอด เธอยังต้องรักษาต่อเพราะเชื้อไวรัสตับอักเสบ B อยู่ในระดับสูงและส่งผลต่อการทำงานของตับอย่างรุนแรง
หลังจากนั้นผู้ป่วยได้แนะนำให้ครอบครัวไปตรวจซ้ำ ปัจจุบันทุกคนกำลังใช้ยาต้านไวรัสและได้รับคำปรึกษาเพื่อลดความเสี่ยงแพร่เชื้อไปยังรุ่นต่อไป
ผู้ป่วยยังเล่าว่าบริเวณที่เธออาศัยอยู่ก็มีเพื่อนบ้านหลายคนเสียชีวิตด้วยโรคตับ เมื่อญาติของพวกเขาไปตรวจสุขภาพจึงพบว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แบบเรื้อรัง จากประสบการณ์นี้ เธอได้ชักชวนเพื่อน ๆ ไปตรวจ และหลายคนพบว่าติดเชื้อเช่นกัน
.jpg)
ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่จากไวรัสตับอักเสบบี
องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า โรคตับอักเสบบี เป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่ง โดยแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตกว่า 1 ล้านคน จากภาวะแทรกซ้อนอย่างมะเร็งตับและตับวาย
ไวรัส HBV ทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ที่น่ากังวลคือผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวเพราะไม่มีอาการชัดเจน พวกเขายังใช้ชีวิตตามปกติ จนกว่าจะตรวจพบโดยบังเอิญ หรือเจอในระยะลุกลามแล้ว
ตับอักเสบบีเฉียบพลันสามารถหายได้เองถึง 95% ส่วนตับอักเสบบีเรื้อรังมักต้องใช้ยาต้านไวรัสตลอดชีวิต
นพ. Đới Ngọc Anh จากแผนกตับอักเสบ กล่าวว่า “ผู้ป่วยจำนวนมากเพิ่งรู้ตัวว่าติดเชื้อก็ตอนตรวจสุขภาพโดยบังเอิญ หรือเข้าโรงพยาบาลเพราะภาวะแทรกซ้อน นี่คือเหตุผลว่าทำไมโรคนี้ถึงควบคุมยาก และสร้างผลกระทบหนักต่อทั้งผู้ป่วยและสังคม”
เส้นทางการแพร่เชื้อหลัก
-
จากแม่สู่ลูกขณะคลอด (พบมากในหลายประเทศ)
-
ผ่านเลือดและเข็มฉีดยาที่ไม่ปลอดภัย
-
ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
-
การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อมีบาดแผลหรือรอยถลอกในเยื่อบุ
กลุ่มเสี่ยงสูง ได้แก่ เด็กแรกเกิดจากแม่ที่เป็นพาหะ ผู้ใช้เข็มฉีดยาเสพติด ผู้มีเพศสัมพันธ์ไม่ปลอดภัยหรือชายรักร่วมเพศ ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยฟอกไต และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน HIV หรือไวรัสตับอักเสบ C
ป้องกันคือหัวใจสำคัญ
การฉีดวัคซีนตับอักเสบบี คือวิธีป้องกันที่ได้ผลที่สุด ทารกแรกเกิดควรได้รับวัคซีนภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด หากแม่ติดเชื้อ เด็กควรได้รับทั้งวัคซีนและภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (HBIG) ภายใน 12 ชั่วโมงแรก ซึ่งสามารถป้องกันได้กว่า 90%
ผู้ที่เป็นตับอักเสบบี อยู่แล้วควรตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ ห้ามหยุดยาเองเพราะอาจทำให้โรคพัฒนาไปสู่ตับแข็งและมะเร็งตับ ควรตรวจอัลตราซาวนด์ตับทุก 6 เดือน โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง
นอกจากนี้ เพื่อดูแลตับ ควรมีวิถีชีวิตที่ดี เช่น
-
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
-
เลี่ยงสารเคมีอันตราย
-
กินอาหารสมดุล
-
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
บุคคลดังต่อไปนี้ควรได้รับวัคซีน
-
มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
-
มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป
-
เป็นโรคตับหรือไตเรื้อรัง รวมถึงผู้ป่วยที่กำลังล้างไต
-
ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี
-
มีเพศสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ
-
บุคคลทั่วไปที่ต้องการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน
-
ติดเชื้อเอชไอวี
-
เป็นโรคเบาหวาน
-
มีหน้าที่ต้องสัมผัสกับเลือดของผู้อื่น
-
มีประวัติฉีดยาเสพติดหรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
-
ต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีอุบัติการณ์ของโรคตับอักเสบบีสูง