เนื้อหาในหมวด ข่าว

หญิงอายุแค่ 44 ฟันหลุดหมดปาก ละเลย 1 สัญญาณเตือน รู้อีกทีเคี้ยวข้าวไม่ได้แล้ว

หญิงอายุแค่ 44 ฟันหลุดหมดปาก ละเลย 1 สัญญาณเตือน รู้อีกทีเคี้ยวข้าวไม่ได้แล้ว

หญิงอายุแค่ 44 ฟันหลุดเกือบหมดปาก เสียใจที่ละเลย 1 สัญญาณเตือน รู้ตัวอีกทีเคี้ยวข้าวไม่ได้แล้ว ช่องปากถูกทำลาย

เรื่องราวของ นางจาง อายุ 44 ปี ที่อาศัยอยู่ในเมืองจินหัว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน กำลังสร้างความตกใจแก่หลายคน เพราะแม้อายุเพียง 40 กว่า แต่กลับมีฟันเหลือไม่ถึง 20 ซี่ แถมยังหลวมและอ่อนแอมาก สาเหตุทั้งหมดเริ่มจากอาการเล็ก ๆ ที่เธอมองข้ามไป คือ เลือดออกตามเหงือกขณะแปรงฟัน

ผลการตรวจ CT ที่โรงพยาบาลพบว่า เธอเป็น โรคปริทันต์อักเสบรุนแรง ทำให้ฟันส่วนใหญ่หลุดไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็โยกคลอน เนื่องจากกระดูกเบ้าฟันถูกทำลายจนถึงรากฟัน “ฟันกรามทั้งบนและล่างถูกถอนออกไปนานแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงฟันหน้าและฟันกรามน้อยไม่กี่ซี่ แต่ก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน” แพทย์ผู้รักษากล่าว

นางจางเล่าถึงสาเหตุว่า “หลังคลอดลูกคนแรก เหงือกเริ่มร่นและมักมีเลือดออกเวลาแปรงฟัน ตอนนั้นฉันคิดว่าไม่เป็นไรเพราะยังทานอาหารได้ จึงละเลยไป จนกระทั่งฟันเริ่มโยกจึงไปพบแพทย์ แต่คุณหมอบอกว่าเหงือกเสื่อมสภาพแล้ว ไม่สามารถรักษาได้เต็มที่ ตอนนี้แทบจะเคี้ยวอาหารไม่ได้ ต้องเพียงอมแล้วกลืน”

ตลอดกว่าสิบปีที่ฟันอ่อนแอและเคี้ยวอาหารไม่ได้ ทำให้สุขภาพของเธอทรุดโทรม น้ำหนักตัวเหลือไม่ถึง 40 กิโลกรัม แพทย์ระบุว่า ฟันที่เหลืออยู่ก็ยากจะเก็บรักษา จำเป็นต้องถอนออกทั้งหมดและทำการฝังรากฟันเทียมใหม่ โชคดีที่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน สามารถทำการถอน-ฝัง-ใส่ฟันทดแทนได้ทันที ทำให้เธอมีโอกาสกลับมามีฟันใช้งานได้อีกครั้ง

แพทย์อธิบายว่า โรคปริทันต์อักเสบเป็นโรคเรื้อรังที่ดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ แตกต่างจากฟันผุที่สามารถอุดและรักษาได้รวดเร็ว หลายคนมักเข้าใจผิด คิดว่าเป็นเพียงอาการ “ร้อนใน” และใช้ยาต้านอักเสบ แต่ความจริงคือโรคจะค่อย ๆ ลุกลามโดยไม่รู้ตัว หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ และรักษาควบคู่กับการดูแลฟันอย่างสม่ำเสมอ โรคนี้สามารถควบคุมได้และดำเนินไปช้ามาก

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า เพื่อป้องกันการสูญเสียฟัน ควรรักษาสุขอนามัยช่องปากอย่างถูกวิธี เช่น บ้วนปากหลังอาหาร แปรงฟันให้สะอาดหลังอาหารและก่อนนอน การกำจัดคราบพลัคตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย ลดความเสี่ยงฟันผุและเหงือกอักเสบ

กรณีของนางจางถือเป็น สัญญาณเตือน ว่าไม่ควรละเลยแม้อาการเล็กน้อยอย่างเลือดออกตามเหงือก เพราะสิ่งที่ดูเหมือนเรื่องเล็กนี้ อาจนำไปสู่การสูญเสียฟัน และกระทบต่อสุขภาพโดยรวมอย่างร้ายแรง

รู้จักโรคปริทันต์

โรคปริทันต์อักเสบ (Periodontal disease) หรือ โรคเหงือกอักเสบ ซึ่งเกิดจากคราบของจุลินทรีย์ที่สะสมในบริเวณเหงือก กระดูกรองรับรากฟัน เคลือบรากฟัน และเอ็นยึดรากฟันกับกระดูกเบ้าฟัน เมื่อไม่ได้รับการทำความสะอาดจนเกิดคราบสะสมเป็นเวลานานจึงกลายเป็นคราบหินปูนทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเหงือกและเกิดการอักเสบในที่สุด

โรคปริทันต์อักเสบเกิดจากอะไร

สาเหตุหลัก ๆ จากโรคนี้มักมาจากคราบจุลินทรีย์ที่เกิดหลังจากการแปรงฟังแล้วประมาณ 2-3 นาที โดยจุลินทรีย์จะมาจากน้ำลายที่มีแบคทีเรียของอาหารที่เรารับประทานเข้าไปปะปนอยู่ เชื้อจุลินทรีย์เหล่านี้จะผลิตสารพิษ และกรดออกมาย่อยสารเคลือบฟัน และเหงือกจนทำให้เกิดปัญหาเหงือกอักเสบนั่นเอง

นอกจากนี้โรคปริทันต์ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น ภูมิต้านทานต่ำ ขาดสารอาหารบางชนิด สูบบุหรี่ อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ เป็นต้น

ระยะของโรคปริทันต์

โรคปริทันต์แบ่งออกได้เป็น 4 ระยะคือ

  • ระยะที่ 1 เหงือกอักเสบ มีลักษณะบวม แดง มักพบมีเลือดออกบริเวณคอฟัน ในบางรายโรคอาจลุกลาม โดยพบว่ามีการทำลายของกระดูกรองรับรากฟัน และกลายเป็นโรคปริทันต์อักเสบ
     
  • ระยะที่ 2 โรคปริทันต์อักเสบระยะต้น ระยะที่เริ่มมีการทำลายของกระดูกรองรับรากฟัน ไม่เกิน 1 ใน 3 ซี่ฟัน
     
  • ระยะที่ 3 โรคปริทันต์อักเสบระยะกลาง เป็นระยะที่มีการทำลายกระดูกรองรับรากฟัน จาก 2 ใน 3 ของซี่ฟัน แต่ยังไม่ถึงปลายราก
     
  • ระยะที่ 4 โรคปริทันต์อักเสบระยะปลาย ระยะที่การทำลายกระดูกรองรับรากฟัน ทั้งซี่ฟันจนถึงปลายรากทำให้เกิดฝีปลายรากมีอาการปวดร่วมด้วย ทำให้เหงือกร่น และอาจต้องถอนฟัน
     
  • ระยะที่ 5 ขั้นสุดท้าย เนื่องจากมีการละลายของกระดูกเบ้าฟันมากจนเกือบถึงปลายรากฟัน จะพบว่าโยกมาก เพราะไม่มีกระดูกมายึดไว้ซึ่งในขั้นนี้แพทย์จะทำการถอนฟันซี่นั้นออก เพื่อป้องกันการติดเชื้อลุกลามไปยังฟันซี่อื่น ๆ 

สัญญาณการเกิดโรคปริทันต์

โรคปริทันต์เป็นโรคที่ค่อย ๆ เกิดขึ้น และอาจไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมา แต่เราสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ ดังนี้

  • เหงือกแดงผิดปกติ ปกติแล้วเหงือกจะเป็นสีชมพูอ่อน แต่หากเกิดการอักเสบเหงือกจะมีสีแดงที่สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน
     
  • เหงือกเริ่มบวม โดยจะมีอาการปวดบริเวณเหงือกร่วมด้วย
     
  • เลือดออกเมื่อแปรงฟัน รู้สึกมีเลือดออกตลอดเวลา หรือตอนบ้วนน้ำหลังแปรงฟัน แต่หากรู้สึกว่ามีเลือดออกตลอดเวลาแสดงว่าเหงือกกำลังมีปัญหารุนแรง
     
  • เหงือกมีปัญหา เหงือกร่นจนฟันมีขนาดยาวขึ้น และส่งผลให้ฟันโยก เพราะเหงือกไม่สามารถทำหน้าที่คลุมรากฟันและยึดฟันแต่ละซี่ได้ปกติได้
     
  • เริ่มมีกลิ่นปาก การสะสมของเชื้อแบคทีเรียเป็นจำนวนมากทำให้เหงือกอักเสบและมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ตามมาด้วย

 การรักษาและการป้องกันโรคปริทันต์

  • ขูดหินปูน (Scaling) เป็นการขูดคราบสกปรกที่อยู่ตามร่องเหงือกและใต้เหงือก (ลึกลงไปประมาณ 3 มิลลิเมตร) โดยจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที
     
  • การผ่าตัด จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยให้ความร่วมมือทำความสะอาดฟันอย่างสม่ำเสมอ หรือขูดหินปูนไปแล้วแต่ยังไม่หาย แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัดเพื่อสร้างเส้นใยเหงือก เอ็นยึด และกระดูกเบ้าฟันที่แข็งแรง
     
  • แปรงฟันอย่างถูกวิธี แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ได้แก่ ตอนเช้า และก่อนเข้านอน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีการเคลื่อนไหวภายในช่องปากทำให้เกิดคราบจุลินทรีย์สะสมในตัวฟันได้ง่าย
     
  • หมั่นทำความสะอาดซอกฟัน โดยการใช้เส้นใย หรือไหมขัดซอกฟันเป็นประจำเพื่อขจัดคราบต่าง ๆ ที่สะสมตามซอกฟันออก

การรักษาความสะอาดภายในช่องปากเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และควรหมั่นตรวจสภาพฟันกับทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอด้วย