.jpg)
ลองก้มดู "สะดือ" หากมี 3 ลักษณะนี้ แพทย์แผนจีนบอกว่าจะมีอายุยืนและแข็งแรง
ความเชื่อว่า "สะดือ" เกี่ยวข้องกับวัฏจักรชีวิต มีรากฐานจากแพทย์แผนจีน ซึ่งมองว่าสะดือเป็นจุดสำคัญบนเส้นลมปราณ เป็นศูนย์กลางของเส้นพลังงานในร่างกาย ควบคุมการไหลเวียนเลือดและพลังชีวิต (ชี่) เชื่อกันว่า “สะดือคือรากเหง้าของอวัยวะภายในทั้งห้าและหก เป็นต้นกำเนิดของพลังชีวิต”
คำว่า “อวัยวะภายในทั้งห้าและหก” (五臟六腑 – อู่จั้ง ลิ่วฝู่) มาจากศาสตร์การแพทย์แผนจีน หมายถึงระบบอวัยวะภายในของร่างกายที่ทำงานสัมพันธ์กัน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
ห้าอวัยวะ (五臟 – อู่จั้ง) เน้นการเก็บสะสมพลังชีวิต :
หัวใจ (心) – ควบคุมเลือดและจิตใจ
ตับ (肝) – เกี่ยวข้องกับการไหลเวียนพลังและการเก็บเลือด
ม้าม (脾) – เกี่ยวกับการย่อยและการลำเลียงสารอาหาร
ปอด (肺) – ควบคุมลมหายใจ การแลกเปลี่ยนอากาศ
ไต (腎) – เกี่ยวข้องกับพลังชีวิตดั้งเดิม น้ำ และการสืบพันธุ์
หกอวัยวะ (六腑 – ลิ่วฝู่) เน้นการย่อย สลาย และขับถ่าย :
ถุงน้ำดี (膽)
กระเพาะอาหาร (胃)
ลำไส้เล็ก (小腸)
ลำไส้ใหญ่ (大腸)
กระเพาะปัสสาวะ (膀胱)
ซานเจียว (三焦 – ช่องพลังงานสามส่วนของร่างกาย, ไม่ใช่อวัยวะที่จับต้องได้)
มุมมองแพทย์แผนจีน: สะดือเชื่อมโยงกับอวัยวะภายใน ช่วยบำรุงพลังชีวิต เสริมม้ามและไต ปรับสมดุลกระเพาะลำไส้ กระตุ้นการไหลเวียนเลือด และแก้การติดขัดภายใน
มุมมองการแพทย์สมัยใหม่: บริเวณสะดือมีเส้นประสาทจำนวนมากที่เชื่อมโยงกับอวัยวะภายใน ทำให้บางคนมองว่าสามารถสะท้อนสุขภาพได้ รูปทรงและสีผิวรอบสะดือก็อาจบ่งชี้ภาวะสุขภาพ เช่น สีผิวซีดอาจบ่งบอกภาวะโลหิตจาง หรือโภชนาการไม่ดี
3 ลักษณะสะดือที่เชื่อว่าเป็นสัญญาณอายุยืน
คำกล่าวในหนังสือ 诊病奇侅 ระบุว่า “สะดือที่ใหญ่พอที่จะใส่ลูกพลับได้ เป็นลักษณะของผู้มีอายุยืน” ซึ่งหมายความว่าสะดือที่ใหญ่ กลม และลึก แสดงถึงศักยภาพในการมีอายุยืน ตามแนวคิดแพทย์แผนจีน สะดือที่ดีควรมี 3 ลักษณะคือ :
-
ใหญ่ : แสดงว่าพลังไตสมบูรณ์
-
กลม : แสดงว่าพลังม้ามและกระเพาะสมบูรณ์
-
ลึก : แสดงว่าพลังหัวใจสมบูรณ์
โดยปกติ เส้นผ่านศูนย์กลางของสะดือคนจีนจะอยู่ระหว่าง 0.8–2 ซม.
สะดือในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
ในทางวิทยาศาสตร์ ยังไม่มีหลักฐานว่าสะดือรูปแบบใดส่งผลอย่างไรต่ออายุขัย หลังจากที่สายสะดือหายและหลุดไปแล้ว สะดือจะไม่ทำหน้าที่อะไรเป็นพิเศษในชีวิตประจำวัน แต่มีความสำคัญในด้านความสวยงามและความมั่นใจในรูปร่าง หนึ่งในการศึกษาพบว่าความรู้สึกที่เรามีต่อสะดือสามารถส่งผลต่อความมั่นใจในรูปลักษณ์ของเราได้
อย่างไรก็ตาม ควรรักษาความสะอาดและให้แห้งอยู่เสมอ เพราะเป็นจุดที่เชื้อโรคเจริญได้ง่าย สะดือจึงถือเป็นหนึ่งในบริเวณที่สกปรกที่สุดและพบเชื้อโรคได้เป็นอันดับต้น ๆ ในร่างกาย
หาก "สะดือเหม็น" หรืออาการมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาจากสะดือ อาจมีของเหลว สีขาว เหลือง น้ำตาล หรือมีเลือดปน บางครั้งอาจมีก้อนสิ่งสกปรก และเกิดอาการบวม แดง หรือเจ็บบริเวณรอบสะดือด้วย
สาเหตุของสะดือเหม็น
การติดเชื้อแบคทีเรีย : สะดือเป็นบริเวณอับชื้นและอุ่น เชื้อแบคทีเรียจึงเจริญเติบโตง่าย ปัจจัยเสี่ยง เช่น ไม่รักษาความสะอาด สะสมเหงื่อ สบู่ หรือเศษสิ่งสกปรก
การติดเชื้อรา : ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อรากลุ่ม Candida ซึ่งชอบความร้อนและความชื้น ทำให้สะดือบวม แดง คัน มีกลิ่นเหม็น หรือมีสิ่งสกปรกออกมา
โรคเบาหวาน : ระดับน้ำตาลในเลือดสูงส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อรา ทำให้สะดือเหม็นง่าย
การผ่าตัด : ผู้ป่วยอาจติดเชื้อหลังผ่าตัดบริเวณสะดือหรือเจาะรูสะดือ เช่น การทำหมัน
ภาวะปัสสาวะรั่วออกทางสะดือ (Patent Urachus) : ท่อสะดือที่เปิดอยู่ตั้งแต่เกิด ทำให้น้ำปัสสาวะไหลออก ส่งกลิ่นเหม็น และเสี่ยงติดเชื้อ
ซีสต์ในสายสะดือ (Urachal Cyst) : ถุงน้ำในท่อสะดือที่ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้เกิดของเหลวสะสมและติดเชื้อ
ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Sebaceous Cyst) : เกิดจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังบริเวณสะดือ อาจเกิดการติดเชื้อและมีสิ่งสกปรกสะสม
ความเปลี่ยนแปลงของสะดืออาจบอกสัญญาณเกี่ยวกับโรคในช่องท้อง เช่น
-
การตั้งครรภ์ (โดยเฉพาะไตรมาสที่ 2-3)
-
แผลเป็นจากการเจาะ
-
ไส้เลื่อน (Umbilical hernia)
-
ภาวะน้ำในช่องท้อง (Ascites)
-
ความดันเลือดในตับสูง (Portal hypertension)
-
ไส้ติ่งอักเสบ
-
โรคทางเดินอาหาร
-
โรคฉุกเฉินในช่องท้อง
-
ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด เช่น Gastroschisis
-
มะเร็งแพร่กระจายที่สะดือ (Sister Mary Joseph nodules)
การทำความสะอาดสะดือ
โปรดสังเกตสะดือเพื่อมองหาก้อนสีดำ อาการคัน ผื่นแดง และกลิ่นไม่พึงประสงค์ จากนั้นจึงเริ่มทำความสะอาดด้วยตนเองง่าย ๆ ตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้
นำก้านลำสี หรือสำลีชุบแอลกอฮอล์ แล้วถูวน ๆ ภายในสะดือ เพื่อนำคราบสิ่งสกปรกออก
หลังจากเช็ดด้วยแอลกอฮอล์แล้ว ให้นำสำลีก้อนใหม่ไปชุบน้ำ เพื่อล้างแอลกอฮอล์ออกอีกครั้ง
เช็ดภายในสะดือให้แห้งด้วยผ้า หรือสำลีอีกรอบ
การนวดรอบสะดือ
นวดวนรอบสะดือ ด้วยฝ่ามือทับซ้อนกัน หมุนตามเข็มนาฬิกาเบา ๆ ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ลดอาการท้องอืดและท้องผูก กดนวดหน้าท้อง โดยใช้ฝ่ามือหรือนิ้วมือกดไล่จากชายโครงลงไปยังท้องล่างด้วยแรงพอเหมาะ ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและลำไส้