"ซูเปอร์ฟู้ด" ผักกอบกู้โลก?! โปรตีนสูงว่าถั่วเหลือง 6 เท่า ไทยมีเกลื่อน จนใช้เลี้ยงสัตว์ได้
ผักตบชวา ผักป่าที่มีโปรตีนสูงกว่าเต้าหู้ถึง 6 เท่า แต่อดเสียดายที่คนไทยใช้แค่เลี้ยงสัตว์
ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่โดดเด่น ผักตบชวาถูกมองว่าสามารถ “ช่วยกอบกู้โลก” จากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คุกคามความมั่นคงทางอาหารได้
ได้รับการรับรองจากยุโรป “ซูเปอร์ฟู้ด” แห่งอนาคต
ผักตบชวาได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก สำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) ให้จัดอยู่ในหมวดผักสดและผักแปรรูปในสหภาพยุโรป (EU) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในขณะที่บ้านเรา ผักตบชวาพบได้ตามบึงและแหล่งน้ำจืดทั่วไป แต่คนส่วนใหญ่กลับใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น เลี้ยงหมูและไก่เท่านั้น
ผักตบชวาถูกยกให้เป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” เพราะมีปริมาณโปรตีนสูงมากกว่าที่คิด หลายคนมักนึกถึงโปรตีนจากเนื้อสัตว์หรือถั่วเหลืองเป็นหลัก ซึ่งในถั่วเหลืองมีโปรตีนสูงถึง 36 กรัมต่อ 100 กรัม มากกว่าเนื้อวัว (26 กรัม) และเนื้อหมู (27 กรัม)
แต่ข้อมูลจากมหาวิทยาลัย Wageningen ประเทศเนเธอร์แลนด์ กลับทำให้โลกประหลาดใจ เพราะผักตบชวามีโปรตีนสูงกว่าถั่วเหลืองถึง 6 เท่า หรือประมาณ 43-45% ของน้ำหนักแห้ง ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับผักทั่วไป
โปรตีนคุณภาพสูง ครบ 9 กรดอะมิโนจำเป็น
จุดเด่นอีกอย่างของผักตบชวาคือ โปรตีนที่ครบถ้วนสมบูรณ์ มีกรดอะมิโนจำเป็นทั้ง 9 ชนิด ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ โดยเฉพาะกรดอะมิโนกลุ่ม BCAA ที่ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ ก่อนหน้านี้ถั่วเหลืองถือเป็นโปรตีนพืชเพียงชนิดเดียวที่มีกรดอะมิโนครบถ้วนนี้
นอกจากโปรตีน ผักตบชวายังอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญ เช่น เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม แคลเซียม และฟอสฟอรัส โดยประมาณ 20% ของน้ำหนักผักตบชวาเป็นแร่ธาตุ ส่วนอีก 35% เป็นคาร์โบไฮเดรต
ผักตบชวายังมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามิน B12 ซึ่งพบได้น้อยในพืช โดยในผักตบชวาแห้ง 100 กรัม สามารถให้วิตามิน B12 ได้ถึง 750% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน และวิตามินนี้ยังมีประสิทธิภาพสูงในการดูดซึม
ผักตบชวาเป็นแหล่งใยอาหารและพรีไบโอติกส์ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพลำไส้ รวมถึงมีกรดไขมันจำเป็นอย่างโอเมกา 3
ผักตบชวา ทำไมได้ฉายา “ผักกอบกู้โลก”
นอกจากคุณค่าทางโภชนาการ ผักตบชวายังถูกมองว่าเป็นผักที่ช่วยรับมือกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางอาหารของโลก
ระบบอาหารโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น เช่น ปัญหาที่ดินทำกินลดลง ภาวะโลกร้อน และความต้องการโปรตีนที่ยั่งยืนมากขึ้น การที่ EFSA อนุมัติให้บริโภคผักตบชวาใน EU หลังจากการศึกษาวิจัยโดยมหาวิทยาลัย Wageningen นับเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนไปใช้โปรตีนจากพืชเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ดี ผักตบชวาในประเทศไทย ยังถือเป็นพืชน้ำที่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เนื่องจากมีการเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วในแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง และบึง ทำให้เกิดการอุดตัน ส่งผลให้ระบบนิเวศน้ำเสื่อมโทรม น้ำขังเน่าเสีย ส่งผลกระทบต่อประมงและระบบนิเวศน้ำจืด นอกจากนี้ยังเป็นอุปสรรคต่อการสัญจรทางน้ำ และกระทบต่อการเกษตรในพื้นที่ลุ่มน้ำ
แต่ในขณะเดียวกัน ผักตบชวาก็ถือเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า หากนำมาใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง เช่น การแปรรูปเป็นอาหาร หรือวัตถุดิบอื่น ๆ จะช่วยลดผลกระทบและเพิ่มมูลค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดีของผักตบชวา
- โตเร็วและให้ผลผลิตสูง สามารถเติบโตอย่างรวดเร็วและให้ผลผลิตมากในพื้นที่จำกัด โดยสามารถปลูกซ้อนกันได้
- ปลูกได้โดยไม่ใช้ดิน เพราะผักตบชวาขึ้นอยู่บนผิวน้ำ ช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่าและการเสื่อมสภาพของดิน
- ใช้น้ำน้อย เมื่อเทียบกับพืชทั่วไป
ผักตบชวาบนโต๊ะอาหารทั่วโลก
ผักตบชวาถูกนำมาใช้เป็นผักรับประทานในหลายประเทศ เช่น ไทย กัมพูชา และลาว ที่ใช้ในอาหารท้องถิ่น
ในอิสราเอล สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ผักตบชวาถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ผงโปรตีน และนมจากพืช
ในญี่ปุ่น เกาหลี และสหรัฐฯ ยังนำผักตบชวามาใช้ผลิตอาหารเสริมเพิ่มภูมิคุ้มกันและต้านการอักเสบ
รสชาติของผักตบชวาคล้ายถั่ว มีความกรุบกรอบ ปัจจุบันนักวิจัยกำลังศึกษาวิธีการนำผักตบชวาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาหารประจำวัน เช่น การใช้สดหรือนำไปแช่แข็ง การผสมในอาหาร เช่น พาสต้า แฮมเบอร์เกอร์มังสวิรัติ หรือเมนูอาหารในร้านอาหาร เพื่อให้ผู้บริโภคได้ลองชิมและรับรู้คุณประโยชน์
- กูรูสหรัฐฯ พูดชัด 1 อาหารที่ "ไม่มีวันกิน!!!" เพราะแบคทีเรียเยอะมาก แต่คนไทยยังกินอยู่
- ชายไม่ดื่ม-ไม่สูบ นอนตัวเหลืองรอ "เปลี่ยนตับ" หมอชี้ต้นเหตุ "น้ำโปรด" ที่ไม่ใช่เหล้าเบียร์!
