4 ลักษณะบนใบหน้า สัญญาณเตือนโรคหรือมะเร็ง อย่าสับสนกับ "โหงวเฮ้งนำโชค"
4 ลักษณะบนใบหน้าที่อาจเป็นสัญญาณของโรคหรือมะเร็ง อย่าเผลอเข้าใจผิดว่าเป็น “โหงวเฮ้งแห่งความโชคดี”
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ใบหน้าที่ดูมีบุญวาสนาหรือความงามตามวัยอย่างที่หลายคนเข้าใจ
คุณลุงหวัง อายุ 65 ปี เพิ่งได้ต้อนรับหลานชายคนแรก กำลังมีความสุขอย่างมาก เพื่อนบ้านเห็นผิวหน้าที่ดูอิ่มน้ำของลุง จึงชมว่าเป็นลางดีแห่งโชคลาภ ลุงหวังเองก็รู้สึกว่าสีหน้าและกำลังใจดีขึ้น อีกทั้งยังดูสดใสกว่าเดิมเวลาอยู่ต่อหน้ากล้อง
แต่เมื่อ 6 เดือนก่อน ระหว่างการตรวจสุขภาพประจำปีของบริษัท คุณหมอได้กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนใบหน้า ริมฝีปาก ดวงตา และลำคอของคุณ ไม่ได้เป็นเพียงสัญญาณของโชคดีเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพของคุณด้วย!”
เรื่องนี้ทำให้ลุงหวังถึงกับสับสนใจคิด “อะไรนะ? แค่ดูหน้าก็ทำนายโรคได้จริงหรือ?” นี่เป็นเพียงความบังเอิญหรือมีหลักวิทยาศาสตร์รองรับกันแน่? แท้จริงแล้ว สิ่งที่โบราณเชื่อว่าเป็น “โหงวเฮ้งแห่งโชคลาภ” บางครั้งอาจซ่อนสัญญาณของโรคร้ายไว้โดยไม่รู้ตัว
ผู้คนวัยกลางคนและผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยมักเชื่อว่าหน้าตนเองเป็น “โหงวเฮ้งดี” บ่งบอกถึงสุขภาพแข็งแรงและชีวิตราบรื่น แต่ข้อมูลทางการแพทย์ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงบางอย่างบนใบหน้าอาจสัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคต่อมไทรอยด์ ไปจนถึงโรคมะเร็งได้
4 ลักษณะบนใบหน้าที่อาจบ่งบอกโรคหรือมะเร็ง มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโหงวเฮ้งดี
ปัจจุบัน หลายคนมักเรียกความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าว่าเป็น “สัญญาณแห่งโชคลาภ” เช่น หน้ากลม ริมฝีปากหนา ดวงตาบวม หรือคอสั้น แต่ในทางการแพทย์สมัยใหม่พบว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สัญญาณของความโชคดีเสมอไป
ผลการสำรวจสุขภาพโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ที่ทำการศึกษาในประชากรกว่า 13,000 คน พบว่า ในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี กว่า 22% ของการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าแท้จริงแล้วคืออาการเริ่มต้นของโรคเรื้อรัง
สาเหตุเกิดจากการเสื่อมของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของฮอร์โมน ไขมันในเลือดสะสม หรือการอุดตันของระบบน้ำเหลือง ซึ่งมักแสดงอาการให้เห็นบนใบหน้าก่อนส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ดังนั้นอย่ามองเพียงด้านบวกเสมอไป เพราะบางครั้งนี่อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังส่งเสียงขอความช่วยเหลือ

ใบหน้าบวม
นี่ไม่ใช่เพียง “โหงวเฮ้งแห่งความมั่งคั่งหรือโชคลาภ” เท่านั้น แต่ในทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะบวมน้ำที่ใบหน้า (Facial Edema) สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่ การได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ โรคไต หรือความผิดปกติของการทำงานของหัวใจ
ข้อมูลจากสมาคมการแพทย์จีนระบุว่า ผู้ป่วยไตวายร้อยละ 38.7 มีอาการบวมที่ใบหน้าในตอนเช้า โดยมักบวมทั้งสองข้างและไม่ยุบเป็นรอยกด อาการบวมที่เป็นเรื้อรังและไม่เกี่ยวข้องกับการนอนดึกหรือดื่มน้ำมากเกินไป ไม่ควรละเลย
ริมฝีปากเขียวคล้ำ
แม้หลายคนจะเชื่อว่าริมฝีปากหนาคือสัญลักษณ์แห่งโชคดี แต่ความจริงอาจสะท้อนถึงการทำงานที่บกพร่องของหัวใจและปอด รวมถึงภาวะขาดออกซิเจน
การศึกษาของโรงพยาบาลเซียงยาเผยว่า ร้อยละ 44.3 ของผู้ป่วยโรคหัวใจและปอดเรื้อรังมีอาการริมฝีปากเขียวคล้ำ หากริมฝีปากยังคงมีสีคล้ำต่อเนื่อง ร่วมกับอาการหายใจติดขัดหรือใจสั่น ควรรีบใส่ใจทันที
หนังตาหรือถุงใต้ตาบวมผิดปกติ
อาการบวมของเปลือกตา มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงความเหนื่อยล้าหรืออายุที่มากขึ้น แต่แท้จริงแล้ว ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ โรคไต หรืออาการแพ้รุนแรง ล้วนส่งผลให้เปลือกตาบวมได้
การวิเคราะห์ทางคลินิกของโรงพยาบาล Union พบว่า ร้อยละ 29.2 ของผู้สูงอายุที่เพิ่งถูกวินิจฉัยว่ามีอาการบวมที่เปลือกตา ได้รับการยืนยันว่าเป็นภาวะไทรอยด์ทำงานเกินหรือมีปัญหาเกี่ยวกับไต โดยเฉพาะอาการบวมที่เห็นได้ชัดในตอนเช้าและเป็นต่อเนื่อง จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจโดยแพทย์ทันที
สิ่งนี้มักถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของพลังและอายุยืน แต่ในความจริง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับ โรคไทรอยด์เรื้อรัง ภาวะหลอดเลือดแดงคาโรติดแข็งตัว รวมถึง ความผิดปกติของการเผาผลาญไขมัน
ผลการติดตามทางคลินิกในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิของมหาวิทยาลัยการแพทย์จีนพบว่า อัตราการตรวจพบก้อนที่ต่อมไทรอยด์ในผู้ป่วยวัยกลางคนและผู้สูงอายุที่มีลำคอหนาขึ้นอย่างชัดเจนและมีเนื้องอกบริเวณกึ่งกลางลำคอสูงถึง 35.1%
แพทย์ย้ำว่า ผู้ที่มีรอบคอเกิน 38 เซนติเมตร หรือมีอาการคอสั้นและหนามากขึ้นเรื่อย ๆ ควรเฝ้าระวังโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ความผิดปกติของการเผาผลาญไขมัน หรือแม้แต่ความเสี่ยงของเนื้องอก
การตรวจคัดกรองและการดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มต้น สามารถช่วยให้คุณห่างไกลจาก “ภัยเงียบบนใบหน้า” ได้
ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่า เมื่อพบการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะการจัดการอย่างเป็นระบบและการเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ มีความสำคัญอย่างยิ่ง แนวทางที่แนะนำ ได้แก่
การตรวจสุขภาพประจำปี
ควรเข้ารับการตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยครอบคลุมการวัดความดันโลหิต การตรวจเลือด การตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ และการตรวจการทำงานของไต
ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
ควรเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูง เช่น ปลา หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ลดการบริโภคเกลือและน้ำมันในปริมาณสูง พร้อมทั้งรับประทานผักและผลไม้สดเป็นประจำ จะช่วยบรรเทาอาการบวมและภาวะไขมันในเลือดผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รักษานิสัยการใช้ชีวิตที่ดี
นอนหลับอย่างเพียงพอ เลิกสูบบุหรี่ และลดการดื่มแอลกอฮอล์ งานวิจัยพบว่าการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน สามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะหน้าบวมได้เกือบ 20%
เข้ารับการตรวจเพื่อประเมินความเสี่ยงมะเร็ง
หากมีอาการบวมเรื้อรัง ริมฝีปากมีสีผิดปกติ หรือพบก้อนที่ลำคอ ควรรีบไปโรงพยาบาลที่เชื่อถือได้เพื่อขอคำปรึกษา และตรวจอย่างละเอียดด้วยอัลตราซาวด์ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) รวมถึงการตรวจหาสัญญาณมะเร็งที่เกี่ยวข้อง
สำหรับผู้ที่มีอาการเข้าข่ายเหล่านี้ การเข้ารับการตรวจรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและพยากรณ์โรคได้อย่างมาก