
เลิกนิสัยเหล่านี้ด่วน! ถ้าไม่อยากให้ "มิจฉาชีพ" ได้ข้อมูลเราไป แค่ข้อแรก คนทำกันเยอะมาก
เลิกด่วน! พฤติกรรมเสี่ยงทำ “ข้อมูลส่วนตัว” หลุดถึงมือมิจฉาชีพ
ในยุคดิจิทัลที่มิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดหนัก การปกป้องข้อมูลส่วนตัวถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง หลายครั้งที่ภัยร้ายเหล่านี้เริ่มต้นจากพฤติกรรมที่เราคุ้นเคยและอาจมองข้ามไป การปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่างจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อได้
การถ่ายสำเนาบัตรประชาชนครบทั้งหน้า-หลัง
ในอดีต การเซ็นสำเนาถูกต้องบนบัตรประชาชนทั้งด้านหน้าและด้านหลังถือเป็นเรื่องปกติ แต่ปัจจุบันพฤติกรรมนี้มีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากด้านหลังของบัตรประชาชนมีชุดตัวเลขที่เรียกว่า “Laser ID” ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการยืนยันตัวตนเพื่อทำธุรกรรมออนไลน์ต่างๆ เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร หรือสมัครแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินดิจิทัล
หากมิจฉาชีพได้ข้อมูลส่วนนี้ไป ก็อาจนำไปสวมรอยทำธุรกรรมในชื่อของเราได้ ดังนั้น หากจำเป็นต้องใช้สำเนาบัตรประชาชน ควรขีดคร่อมหรือปิดทับเลข Laser ID ไว้เสมอ และอย่าลืมระบุวัตถุประสงค์ในการใช้งานให้ชัดเจนทุกครั้ง
กด “ยอมรับ” หรือปิด Pop-up โดยไม่อ่าน
ความเร่งรีบในชีวิตประจำวันทำให้หลายคนติดนิสัยการกดปุ่ม “ยอมรับ” (Agree) หรือกดปิดหน้าต่าง Pop-up ที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนโดยไม่ได้อ่านรายละเอียดให้ถี่ถ้วน การกระทำดังกล่าวอาจเป็นการอนุญาตให้แอปพลิเคชันที่ไม่น่าไว้วางใจเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวในเครื่อง หรืออาจเป็นการติดตั้งมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว
ก่อนจะกดยอมรับเงื่อนไขใดๆ ควรใช้เวลาอ่านอย่างน้อยคร่าวๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเราไม่ได้กำลังอนุญาตให้โปรแกรมที่ไม่ต้องการเข้ามาสร้างความเสียหายในอุปกรณ์ของเรา
คลิกลิงก์แปลกปลอมโดยไม่ตรวจสอบ
การหลอกลวงแบบฟิชชิง (Phishing) ผ่านทาง SMS หรืออีเมลยังคงเป็นวิธีที่มิจฉาชีพนิยมใช้ โดยมักจะส่งข้อความมาในรูปแบบที่น่าเชื่อถือ เช่น อ้างว่าเป็นธนาคาร, บริษัทขนส่งพัสดุ หรือหน่วยงานราชการ พร้อมแนบลิงก์ที่นำไปสู่เว็บไซต์ปลอมเพื่อหลอกให้กรอกข้อมูลสำคัญอย่างชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต
วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการตั้งสติ อย่าหลงเชื่อข้อความที่ดูเร่งด่วนเกินจริง และควรตรวจสอบ URL ของลิงก์ให้ดีก่อนคลิกเสมอ หากไม่แน่ใจ ควรเข้าสู่เว็บไซต์ของหน่วยงานนั้นๆ โดยตรงผ่านการพิมพ์ URL เอง
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Wi-Fi สาธารณะ
หลายคนมักได้รับคำเตือนว่า “ห้ามใช้ Wi-Fi สาธารณะทำธุรกรรมทางการเงิน” ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยงอยู่จริง แต่ในทางปฏิบัติถือว่าเกิดขึ้นได้ยากมาก เนื่องจากเว็บไซต์ของสถาบันการเงินและแพลตฟอร์มสำคัญส่วนใหญ่มีการเข้ารหัสข้อมูลด้วยโปรโตคอล HTTPS ซึ่งทำให้การดักจับข้อมูลระหว่างทางเป็นไปได้ยากและไม่คุ้มค่าสำหรับมิจฉาชีพ
อันตรายที่แท้จริงมักเกิดจากการที่อุปกรณ์ของผู้ใช้ติดมัลแวร์อยู่แล้ว หรือจากการถูกหลอกลวงด้วยวิธีฟิชชิงมากกว่า อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ที่ไม่มีการป้องกันด้วยรหัสผ่านหรือไม่น่าเชื่อถือ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
สรุป
การปกป้องข้อมูลส่วนตัวจากมิจฉาชีพเริ่มต้นได้ที่ตัวเรา ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยชินแต่มีความเสี่ยงสูง เช่น การปกป้องข้อมูล Laser ID บนบัตรประชาชน การอ่านรายละเอียดก่อนกดยอมรับเงื่อนไขต่างๆ และการตรวจสอบลิงก์ที่น่าสงสัยอย่างรอบคอบ ความระมัดระวังเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมข้อมูลและสร้างความปลอดภัยในโลกออนไลน์ได้มากขึ้น