เนื้อหาในหมวด ข่าว

หญิงวัย 60 มีเหงื่อออกทั้งที่ไม่ได้ออกกำลังกาย หมอถอนหายใจ \

หญิงวัย 60 มีเหงื่อออกทั้งที่ไม่ได้ออกกำลังกาย หมอถอนหายใจ "ทำไมไม่มาเร็วกว่านี้?"

หญิงวัย 60 เหงื่อออกไม่หยุดแม้ไม่ได้ออกกำลังกาย! หมอถอนหายใจ “ทำไมไม่มาเร็วกว่านี้?”

การมีเหงื่อออกผิดปกติอาจเป็นสัญญาณเตือนด้านสุขภาพที่มองข้ามไม่ได้ เรื่องราวของ คุณนายหลี่ หญิงชาวจีน วัย 60 ปี ที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการประหลาดนี้อย่างต่อเนื่อง แม้เพียงแค่นั่งอยู่เฉย ๆ หรือเดินไปตลาดครู่เดียว เหงื่อก็ไหลอาบจนเสื้อผ้าเปียกโชก ทั้งที่ไม่ได้ออกกำลังกายหนักเลย

ในตอนแรก เธอคิดว่านี่เป็นเพียงอาการปกติของวัยหมดประจำเดือน จึงไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะกำลังซื้อผักในตลาด จู่ ๆ เธอก็มีอาการวิงเวียนศีรษะ เหงื่อแตกท่วมตัว และเกือบเป็นลมที่ร้าน เมื่อลูกสาวเห็นดังนั้นจึงรีบพาไปตรวจสุขภาพโดยรวม และเมื่อเห็นผลการตรวจ แพทย์ได้แต่ส่ายหน้าและกล่าวว่า "อาการเหล่านี้มีมานานแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมาโรงพยาบาลตอนนี้?"

การมีเหงื่อออกผิดปกติ เตือนปัญหาสุขภาพร้ายแรง

1. คำเตือนของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism)

ต่อมไทรอยด์เปรียบเสมือน "คันเร่ง" ของร่างกาย เมื่อต่อมนี้ทำงานมากเกินไป จะทำให้กระบวนการเผาผลาญอาหารเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการกลัวความร้อน เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว และมือสั่น การตรวจเลือดจะแสดงค่าฮอร์โมน TSH ที่ลดลงอย่างผิดปกติ

2. สัญญาณเตือนภาวะน้ำตาลในเลือดคุมไม่ได้

ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีเหงื่อออกมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสภาพของโรค หากมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น "3 มาก 1 น้อย" (กินมาก ดื่มน้ำมาก ปัสสาวะมาก แต่น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว) ควรรีบไปตรวจทันที ค่าระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารที่สูงกว่า 7 มิลลิโมล/ลิตร หรือเกิน 11.1 มิลลิโมล/ลิตร หลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง ถือเป็นสัญญาณอันตราย

3. ระบบหัวใจและหลอดเลือดกำลัง "ร้องขอความช่วยเหลือ"

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ เมื่อมีอาการกำเริบ มักจะมีเหงื่อเย็นแตกออกมา พร้อมกับอาการแน่นหน้าอก หรือเจ็บหน้าอก การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) อาจพบการเปลี่ยนแปลงของคลื่น ST เนื่องจากการขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ และการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจจะช่วยระบุระดับการอุดตันได้

ผู้สูงวัยควรทำอย่างไร เมื่อมีเหงื่อออกผิดปกติ?

1. บันทึก “ไดอารี่การมีเหงื่อออก”

ควรติดตามอาการอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ โดยสังเกตว่าเหงื่อออกในช่วงเวลาใด มีปัจจัยใดกระตุ้น และมีอาการอื่นร่วมด้วยหรือไม่ หากเหงื่อออกตอนกลางคืนมากจนตื่น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ หรือโรคมะเร็งที่แอบแฝงอยู่

2. อย่ามองข้ามการตรวจพื้นฐาน

จำเป็นต้องตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การทำงานของต่อมไทรอยด์ ระดับน้ำตาลในเลือด ค่า HbA1c การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และอัลตราซาวด์หัวใจ ซึ่งเป็นการตรวจง่าย ๆ แต่ช่วยให้ตรวจพบโรคร้ายแรงได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

3. ทำการตรวจเฉพาะทางหากจำเป็น

สตรีวัยหมดประจำเดือนอาจตรวจฮอร์โมนเพิ่มเติม ผู้ที่สงสัยว่ามีความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ควรตรวจวัดความดันโลหิตในท่านอนและท่ายืน ส่วนผู้ที่มีไข้ต่ำเรื้อรังร่วมกับเหงื่อออก ควรตรวจคัดกรองวัณโรค หรือการติดเชื้อที่ซ่อนอยู่

การดูแลตนเองที่บ้านเพื่อบรรเทาอาการ

  • โภชนาการ: รับประทานธัญพืชเต็มเมล็ด ผักใบเขียวเข้ม หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด หากน้ำตาลในเลือดต่ำง่าย ควรพกขนมติดตัว แต่ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด
  • เสื้อผ้า: เลือกผ้าฝ้ายหรือผ้าลินินที่ซับเหงื่อได้ดี ควรพกเสื้อซับใน หรือเสื้อบาง ๆ ไว้เปลี่ยน เมื่อเหงื่อออกมาก เพื่อป้องกันไข้หวัด
  • สภาพแวดล้อม: รักษาห้องให้ระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงลมพัดโดยตรง รักษาระดับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศประมาณ 26 องศาเซลเซียส และแช่เท้าในน้ำอุ่น 40 องศาเซลเซียสก่อนนอน จะช่วยให้ระบบประสาทสงบและปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต

เมื่อไหร่ที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที

  • เหงื่อเย็นออกร่วมกับอาการเจ็บหน้าอก: อาจเป็นสัญญาณของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย ควรอมยาขยายหลอดเลือด (เช่น ไนโตรกลีเซอรีน) ทันที และโทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน
  • เหงื่อออกมากร่วมกับอาการสับสน อ่อนเพลียมาก: เสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือการติดเชื้อรุนแรง จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยกลูโคสทางหลอดเลือด หรือยาปฏิชีวนะฉุกเฉิน
  • น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทราบสาเหตุ: การลดลงของน้ำหนักเกิน 5% ภายใน 1 เดือน ถือเป็นสัญญาณผิดปกติ ต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็ง