
โศกนาฏกรรมเจ้าชายรัชทายาท ผู้ถูกประหารด้วย "หีบข้าว" วิปลาสจริงหรือเหยื่อการเมือง
โศกนาฏกรรมเจ้าชายรัชทายาท ผู้ถูกกษัตริย์สั่งประหารด้วย "หีบข้าว" อย่างทรมาน วิปลาสจริงหรือเป็นเหยื่อการเมือง
เรื่องราวของเจ้าชายซาโด ถือเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมที่ดำมืดและสะเทือนใจที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์โชซอน จากรัชทายาทผู้เป็นความหวังของราชบัลลังก์ สู่จุดจบอันน่าสยดสยองด้วยพระบัญชาของพระบิดา เรื่องราวนี้สะท้อนความขัดแย้งทางการเมือง ความกดดัน และความวิปลาสที่รวมตัวกันจนกลายเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์
จากความหวังสู่รอยร้าวของราชวงศ์
เจ้าชายซาโด หรือพระนามเดิม เจ้าชายจางฮอน เป็นพระราชโอรสองค์ที่สองของพระเจ้ายองโจ และ พระสนมยองบิน แต่หลังจากพระราชโอรสองค์แรกสวรรคต เจ้าชายจางฮอนจึงกลายเป็นความหวังเดียวของราชบัลลังก์ ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงแสดงความเฉลียวฉลาดและความสามารถโดดเด่น ทำให้พระเจ้ายองโจทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง
เมื่อเจริญวัย ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกเริ่มตึงเครียด พระเจ้ายองโจทรงเข้มงวดและต้องการให้เจ้าชายซาโดศึกษาแบบขงจื๊อ
ความบ้าคลั่งของเจ้าชายซาโดเกิดจากความคาดหวังสูงของกษัตริย์ยองโจ ผู้ซึ่งเกิดจากชนชั้นต่ำและถูกตั้งคำถามเรื่องความชอบธรรมในการครองราชย์ ต้องการให้ซาโดเป็นรัชทายาทที่สมบูรณ์แบบ เมื่อซาโดเริ่มเบี่ยงเบนจากเส้นทางปกติ สนใจในศิลปะและการต่อสู้ กษัตริย์ยองโจแสดงความผิดหวังโดยเพิกเฉยและล้อเลียนเขาต่อหน้าขุนนาง ภายใต้ความกดดันนี้ ซาโดเริ่มมีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ใส่เสื้อผ้าซ้ำหลายครั้งเมื่อมีอาการรุนแรง บันทึกระบุว่าซาโดฆ่าคนเป็นครั้งแรกในปี 1757 และหลังจากนั้นมีผู้เสียชีวิตกว่า 100 คน
เงามืดแห่งความวิปลาสและการเมือง
บันทึก "ฮันจุงโนก" ซึ่งเป็นบันทึกความทรงจำของ พระชายาฮเย-กยอง ในองค์ชายรัชทายาทซาโด ที่มีความสำคัญต่อการเปิดเผยความลับทางประวัติศาสตร์เกาหลีในช่วงปี ค.ศ. 1700-1800 ระบุว่า เจ้าชายซาโดมีพฤติกรรมฉุนเฉียว แปรปรวน หวาดระแวง และรุนแรงต่อผู้คนรอบข้าง โดยเฉพาะการสังหารนางในและข้าราชบริพาร
อย่างไรก็ตาม พระองค์ยังตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างขุนนางฝ่ายโนรอนและโซรอน ขุนนางฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสใส่ร้ายและกุเรื่องเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของพระองค์ ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
คำสั่งสุดท้ายสู่โศกนาฏกรรม
ในปี ค.ศ. 1762 (พ.ศ. 2305) สถานการณ์ได้เดินทางมาถึงจุดแตกหัก เมื่อมีข่าวลือว่าองค์ชายซาโดทรงพยายามที่จะบุกเข้าไปในพระตำหนักของพระเจ้ายองโจเพื่อปลงพระชนม์พระบิดา
แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ด้วยแรงกดดันจากเหล่าขุนนาง ประกอบกับความหวาดระแวงและความผิดหวังในตัวพระโอรสที่สะสมมานาน ทำให้พระเจ้ายองโจทรงตัดสินใจลงพระอาญาขั้นรุนแรงที่สุด เนื่องจากกฎมณเฑียรบาลห้ามมิให้แตะต้องพระวรกายขององค์รัชทายาทด้วยอาวุธ พระเจ้ายองโจจึงมีพระบัญชาให้นำองค์ชายซาโดไปขังไว้ใน "หีบไม้" สำหรับใส่ข้าวขนาดใหญ่และปิดตายฝาหีบ แม้จะมีเสียงอ้อนวอนร้องขอชีวิต พระเจ้ายองโจก็ยังคงไม่สนใจ
ท่ามกลางฤดูร้อนอันแสนระอุ องค์ชายซาโดถูกทิ้งให้สิ้นพระชนม์อย่างทรมานจากการขาดอากาศและอาหารเป็นเวลา 8 วัน ก่อนที่พระเจ้ายองโจจะมีรับสั่งให้นำร่างไร้วิญญาณของพระองค์ออกมา
ภายหลังเหตุการณ์น่าสลดนี้ พระเจ้ายองโจทรงรู้สึกเสียพระทัยอย่างมาก และได้พระราชทานพระนามใหม่ให้พระโอรสผู้ล่วงลับว่า "ซาโด" ซึ่งมีความหมายว่า "ระลึกถึงด้วยความอาลัย" เพื่อเป็นการแสดงความโศกเศร้า
มรดกและการตีความทางประวัติศาสตร์
โศกนาฏกรรมของเจ้าชายซาโดยังคงเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักประวัติศาสตร์ บางฝ่ายมองว่าเจ้าชายซาโดเป็นผู้วิปลาส ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าเป็นเหยื่อการเมือง
เจ้าชายซาโดในฐานะเหยื่อการเมือง ในอีกมุมหนึ่ง ทฤษฎีใหม่มองซาโดเป็นเหยื่อการเมือง นักประวัติศาสตร์ อี ด็อก-อิล และนักเขียน อี อิน-ฮวา ชี้ว่าเขาไม่ใช่เพียงคนบ้า แต่เป็นอัจฉริยะผู้โชคร้ายที่ถูกเกมการเมืองในราชสำนักทำร้าย
เจ้าชายซาโดมีความสามารถทางศิลปะสูง แต่ถูกครอบครัวภรรยาของเขา (ตระกูลฮเย-กยอง) และขุนนางฝ่ายโนรอน ใช้ประโยชน์ในการสร้างความตึงเครียดทางการเมือง ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างซาโดและพระราชบิดา
ในวัย 21 ปี เจ้าชายซาโดพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง การตีความเหล่านี้ถูกนำเสนอในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์หลายเรื่อง เช่น ภาพยนตร์ปี 1956 “The Tragic Prince” และละครประวัติศาสตร์ปี 1972 “500 Years of Joseon Dynasty – Hanjungrok” ซึ่งเน้นด้านอาชญากรรมและจิตวิปลาส
ละครโทรทัศน์เรื่อง “Secret Doors” (2014) และ “Warrior Baek Dong Soo” (2011) แสดงซาโดในฐานะผู้นำที่ทะเยอทะยาน แต่ตกเป็นเหยื่อผู้ส่งฆาตกรจากขุนนางฝ่ายโนรอน ข้อถกเถียงที่ยังดำเนินต่อ แม้ทฤษฎีใหม่จะได้รับการสนับสนุนมากขึ้น แต่ความขัดแย้งเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเจ้าชายซาโดยังคงอยู่ ผู้ผลิตสารคดีชี้ว่าการเป็นเหยื่อทางการเมืองไม่สามารถอธิบายพฤติกรรมฆาตกรรมของเขาได้ การกระทำเหล่านี้เป็นเรื่องร้ายแรงและโหดร้าย
ภาพยนตร์เรื่อง “The Throne” เน้นความขัดแย้งระหว่างบิดาและลูกชายอย่างชัดเจน แม้จะมีการอ้างถึงความสัมพันธ์ของยองโจกับขุนนางโนรอน แต่ก็เน้นว่าการกระทำของซาโดที่โหดร้ายเป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่การเสียชีวิต
นักวิจารณ์วัฒนธรรม ฮวัง จิน-มี กล่าวว่า "The Throne" แสดงให้เห็นชัดว่าซาโดฆ่าคนบริสุทธิ์ และพยายามฆ่าพ่อของตน ซึ่งทำให้ยองโจโกรธจนต้องขังเขาในหีบไม้จนตาย ภาพยนตร์นี้เน้นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูก โดยลดบทบาททางการเมืองลง